tag:blogger.com,1999:blog-36898911634660721352024-03-28T04:20:53.085-07:00รับทำ SEO ขอนแก่น รับทำเว็บไซต์ ด้วย Wordpressรับทำ SEO ขอนแก่น บริการ SEO ให้ติดหน้าแรกของ Google ,รับทำเว็บไซต์ ด้วย CMS ยอดนิยมอย่าง Wordpress สำหรับธุรกิจที่ต้องการมีเว็บไซต์ เป็นของตัวเอง ในยุคดิจิตอลที่ การแข่งขันสูง เพื่อช่วยเสริมสร้างธุรกิจของคุณให้ทันโลกในยุค 4.0
Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.comBlogger26125tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-42051345083544977212021-10-01T22:47:00.000-07:002019-10-06T00:12:22.095-07:00SEO คืออะไร ?<h2>
SEO คืออะไร ?</h2>
<br />
SEO ย่อมาจาก (Search engine optimization) คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับ เซิร์จเอนจิ้น เพื่อเพิ่มอันดับผลการค้นหาของเว็บไซต์ของคุณให้อยู่ในอันดับที่ดีที่สุด โดยการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้ ใช้งานได้สะดวก เร็ว และเข้าถึงการใช้งานได้ง่าย เพื่อให้ตรงกับมาตราฐานที่ Search Engine ได้กำหนดไว้ โดยในการจัดอันดับเว็บไซต์ว่าเว็บไหนสมควรอยู่ในอันดับที่เท่าไรนั้น จะมีเงื่อนไขต่างๆที่ใช้ในการพิจารณาถึง 200 เงื่อนไข เพื่อพิจารณาเว็บไซต์ที่ดีที่สุด ตรงกับที่ผู้ใช้งานมากที่สุด แล้วเรียงลำดับลงไป<br />
<br />
<h2>
ทำไมการทำ SEO จึงสำคัญ</h2>
<br />
ในปัจจุบันนี้มีการใช้งาน Search Engine และเครื่องมือค้นหาต่างๆในการหาข้อมูลจำนวนมาก โดยใช้ในการหาข้อมูลร้านค้า สินค้า หรือบริการ ที่กำลังสนใจอาทิเช่น การจองโรงแรมเพื่อไปเที่ยวพักผ่อน หรือ หาดูโทรศัพท์มือถือว่ารุ่นไหนดี ราคาถูก ซึ่งหากคุณเป็นเจ้าของกิจการแล้วต้องการที่จะเพิ่มยอดขายโดยใช้ช่องทางนี้ในการทำธุรกิจ จึงจำเป็นมากที่จะต้องใช้บริการ รับทำ SEO โดยจะขอแจกแจงข้อดีของการทำ <a href="https://www.seokhonkaen.com/3-seo-tips">SEO </a>มาเป็นข้อๆดังนี้<br />
<br />
<h3>
ข้อดีของการทำ SEO</h3>
<ol>
<li>ผู้ใช้มักคลิกที่ผลการค้นหา อันดับ 1-5 มากกว่านั่นหมายถึงถ้าเว็บไซต์ธุรกิของคุณอยู่อันดับต่ำกว่านั้นการคลิกเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณก็น้อยลงกว่าอันดับดังกล่าว</li>
<li>การทำ SEO ไม่ใช่เพี่ยงแค่ทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆเท่านั้น การทำ SEO ยังทำให้ผู้ใช้งานมีความพึงพอในในการใช้งานเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย เพราะการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีนั้น อยู่ในเงื่อนไขอันดับต้นๆ ของการทำ เอส อี โอ</li>
<li>ผู้คนให้ความเชื่อถือใน เครื่องมือค้นหาว่าจะให้ผลการค้นหาที่ดีกับผู้ใช้งาน ดังนั้นจึงเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณด้วย</li>
<li>ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณ อยู่เหนือคู่แข่ง ในกรณีคุณกับคู่แข่งขายสินค้าชนิดเดียวกัน ถ้าเว็บไซต์ของคุณสามารถทำอันดับได้ดีกว่าคู่แข่ง ยอดขายของคุณก็จะมากกว่าคู่แข่งอีกด้วย</li>
</ol>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<amp-img alt="Search engine optimization" height="596" layout="responsive" src="https://3.bp.blogspot.com/-s6qymvSBkYM/XN5KdhRhxuI/AAAAAAAAHlI/IU2CTxMxq4U02_T1go_F_Wdk-uzDuD0BwCLcBGAs/s640/7_150.jpg" width="640">
</amp-img>
<img border="0" data-original-height="737" data-original-width="789" height="596" src="https://3.bp.blogspot.com/-s6qymvSBkYM/XN5KdhRhxuI/AAAAAAAAHlI/IU2CTxMxq4U02_T1go_F_Wdk-uzDuD0BwCLcBGAs/s640/7_150.jpg" width="640" />
</div>
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-4010550438820156872021-10-01T20:34:00.000-07:002019-10-06T00:13:06.509-07:00ทำ SEO Vs ลงโฆษณา PPC มีข้อดีข้อเสียอย่างไร<br />
การเพิ่มทราฟฟิคให้เว็บไซต์นั้นสามารถทำได้หลายทางตั้งแต่การจ่ายเงินเพื่อลงโฆณาให้คนเข้ามาเยี่มชมเว็บไซต์ของเรา หรือการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ทำอันดับดีๆแล้วให้ผู้เยี่มชมเข้ามาเว็บไซต์ของเรานั้น มีข้อดีข้อเสีบแตกต่างกัน วันนี้ เราจะมาว่าถึงขอดี และ ข้อเสีย ของการเพิ่มทราฟฟิคระหว่าง <a href="https://www.seokhonkaen.com/search-engine-optimization">SEO </a>และ PPC กัน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1293" data-original-width="1600" height="516" src="https://1.bp.blogspot.com/-E5EAvoun6HY/XOIgPlPZEUI/AAAAAAAAHpM/n0KHTVYkyKstHfTDY6JMJUCpPwUx0ecOwCLcBGAs/s640/16.jpg" width="640" /></div>
<br />
<br />
ข้อดีของ PPC<br />
<br />
<ul>
<li>สะดวกรวดเร็ว ลงโฆษณาแล้วมีทราฟฟิคในทันที</li>
<li>เลือกกลุ่มเป้าหมายได้ ปรับแต่งโฆษณาได้ทุกกลุ่ม อย่างละเอียด</li>
<li>ได้ผลตอบแทน $3 เหรียญ ในทุกๆ $1 เหรียญที่จ่ายลงโฆษณา</li>
</ul>
<br />
ข้อดีของ SEO<br />
<br />
<ul>
<li>สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ในระยะยาว</li>
<li>ให้ทราฟฟิคที่คงที่ยั่งยืน เรื่อยๆ แม้หยุดทำ SEO แล้ว</li>
<li>มีราคาถูกกว่า PPC</li>
</ul>
<br />
<br />
จะเห็นได้ว่าทั้งคู่มีข้อดีแตกต่างกัน ทางเว็บเราแนะนำในช่วงแรกให้ใช้ PPC ร่วมกับ SEO หลังจากที่เว็บไซต์สามารถทำอันดับได้แล้วจึงสามารถถอน PPC หรือลดสัดส่วนลง จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเดินต่อได้อย่างราบรี่น<br />
<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-62516170012961664292021-09-28T23:51:00.000-07:002019-10-06T02:12:39.386-07:00Google Algorithm คืออะไร Google Algorithm คืออะไร <b>กูเกิล อัลกอริทึ่ม หรือเรานิยมเรียกสั้นๆว่า อัลกอ นั้นเป็นระบบการจัดลำดับเว็บไซต์ของกูเกิลที่จะใช้ในการรจัดลับเว็บไซต์ต่าง ๆว่าควรอยู่ในตำแหน่งไหนของคำค้นหา โดยใช้ข้อมูล ที่มีความเกี่ยวข้อง มากที่สุด มีประโยชน์มากที่สุด และให้ผลการค้นหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด ภายในเสี้ยววินาที</b><br />
<br />
กูเกิล อัลกอริทึ่มนั้นมีความหมายใกล้เคียงกันกับ อัลกอริทึ่มของภาษาคอมพิวเตอร์ คือ กระบวนการแก้ปัญหาที่สามารถอธิบายออกมาเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน เช่น การนำเข้าข้อมูล แล้วจะได้ผลลัพธ์เช่นไร กระบวนการอัลกอริทึมนี้จะประกอบด้วย วิธีการเป็นขั้นตอนๆ และมีส่วนที่ต้องทำซ้ำ จนกระทั้งเสร็จสิ้นกระบวนการทำงาน สามารถอธิบายการทำงานได้โดยการที่ คุณค้นหาคำว่า “รับทำ SEO ขอนแก่น” ซึ่งกูเกิลก็จะทำการส่งผลการค้นหาที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดมาให้คุณ โดยดึงเอาข้อมูลจากหน้าเว็บเพจจำนวนหลายพันล้านเว็บไซต์ที่มีอยู่ในฐานข้อมูลของก็เกิล มาให้คุณโดยใช้เจ้าตัว อัลกอริทึ่ม นี่แหละในการจัดเรียงว่าเว็บไหน หน้าไหนควรอยู่ในอันดับ 1,2,3, จนถึงอันดับ 10 . แล้วเรียงหน้าผลการค้นหา ตั้งแต่หน้า 1-100<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="675" data-original-width="1080" height="400" src="https://1.bp.blogspot.com/-yMIBnUkb6S0/XYhrN5ybm-I/AAAAAAAAKUs/gF_BJIGOQ6k4iXqG6h9iCIus0BE_CvmgwCLcBGAsYHQ/s640/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B9%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A5%2B%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B6%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A1.png" width="640" /></div>
<br />
<br />
<h3>
อัลกอริทึ่ม ของกูเกิลทำงานอย่างไร</h3>
อัลกอริทึ่มของกูเกิลนั้นมีความซับซ้อนมากที่สุด และมีการอัปเดทเปลี่ยนแปลงแทบจะตลอดเวลา มีการ roll out ฟีเจอร์ใหม่ ๆออกมาเรื่อย ๆเพื่อที่จะปรับปรุงผลการค้นหาให้ถูกใจผู้ใช้งานมากที่สุด เพื่อช่วยให้ผลการค้นหานั้นถูกต้อง โดยมีการคำนึงถึง ประสบการการใช้งานของผู้ใช้ หรือ User Experiences มากที่สุด นั่นจึงทำให้ Google Search เป็นที่นิยมใช้งานมากที่สุดในโลก ซึ่งต่างจากผู้ให้บริการ Search Engine เจ้าอื่น ๆที่ทำได้ไม่ดีเท่าที่กูเกิลทำ<br />
<br />
เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลต่าง ๆของผู้ใช้งานอย่างละเอียดว่าผู้ใช้งานคนนั้นต้องการค้นหาคำไหนกันแน่ เช่นสมมุติว่าผู้ใช้ค้นหาคำว่า แมว ซึ่งหมายถึงแมวที่เป็นสัตว์ โดยอ้างอิงจากผลการค้นหาก่อนหน้าของผู้ใช้งานคนดังกล่าวที่กูเกิลได้ทำการเก็บไว้ ในก่อนหน้านี้ว่าผู้ใช้คนนี้เคยค้นคำว่า ซื้อแมวได้ที่ไหน กูเกิลก็จะเลือกเอาผลการค้นหาที่เกี่ยวกับสถานที่ซื้อแมวมาโชว์ในผลการค้นหาด้วย ด้วยการที่เพียงผู้ใช้งานค้นหาคำว่า”แมว”เฉยๆ เราเรียกกระยวนการนี้ว่า Semantic search นั่นเอง<br />
<br />
โดยการทำงานของ อัลกอริทึ่ม ของกูเกิล นั้นทางกูเกิลเองไม่ได้ทำการเปิดเผยว่ามันทำงานอย่างไรแต่ว่าการทำงานนั้นทางกูเกิลเองได้ออกมาบอกว่าพวกเขาใช้ข้อมูลอะไรบ้างในเว็บไซต์เพื่อที่จะนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการจัดลำดับซึ่งในเบื่องต้นก็มี<br />
<br />
1.<span style="white-space: pre;"> </span>Title header tags, และ meta description<br />
2.<span style="white-space: pre;"> </span>ลิงค์ที่ถูกเชื่อมโยงมายังเว็บไซต์<br />
3.<span style="white-space: pre;"> </span>การแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่าง มือถือ หรือแท็บเลต<br />
โดยข้อมูลดังกล่าวนั้นเราสามารถทำการปรับแต่งได้ในเว็บไซต์ของเราเองแต่มีข้อมูลบางส่วนที่เราไม่สามารถควบคุมได้อีกหลายปัจจัยที่กูเกิลใช้ในการพิจารณาซึ่งมีมากกว่า 200 ข้อที่กูเกิลได้เปิดเผยออกมาในเอกสารแนะนำ<br />
<br />
<br />
<h3>
การทำงานของ Google อัลกอริทึ่ม</h3>
เมื่อได้รับคำค้นมาจากการค้นหาของผู้ใช้งานแล้ว กูเกิลก็จะทำการทำงานตามขั้นตอนดังนี้เป็นลำดับ<br />
<br />
<ol>
<li>เมื่อได้รับคำค้นมากูเกิลจะทำการวิเคราะห์ว่าคำค้นดังกล่าวหมายถึงอะไร คำต่อคำ ซึ่งความหมายของคำต่างในประโยคนั้นอาจจะมีความหมายที่แตกต่างกัน เช่น การเปลี่ยนหลอดไฟ กับ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งคำว่าเปลี่ยนในประโยคทั้งสองนั้นมีความหมายที่ไม่เหมือนกันเลยเสียที่เดียวในรูปประโยคที่มีการกล่าวถึงที่แตกต่างกัน ทำให้ก็กูเกิลต้องตัดสินว่า คำนั้นหมายถึงอะไรกันแน่</li>
<li>ต่อไป ระบบจะทำการค้นหาหน้าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับคำค้นหามากที่สุด โดยพิจารณาจาก ชื้อหัวข้อ หรือไตเติล ของหน้า และ ตัวอักษร และเนื้อหาที่อยู่ในบทความนั้นว่ามีความเกี่ยวข้องกันมากเพียงไหน โดยกูเกิลจะทำการอ่านข้อมูลทั้งหน้า และทำการเก็บไว้ในฐานข้อมูล เพื่อนำมาใช้งาน</li>
<li>หลังจากนั้นกูเกิลจะพิจารณา คุณภาพของเนื้อหาว่ามีสัญญานอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าบทความดังกล่าวนั้นมีคุณภาพ เช่น มีลิงค์ที่อ้างอิงเข้ามายังหน้าเว็บนั้นมากมาย หรือว่า มีลิงค์จากหน้าเว็บที่มีความน่าเชื่อถืออ้างเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ดังกล่าวโดยธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการสแปมลิงค์ ซึ่งหน้าเว็บนั้นต้องปฏิบัติติตาม Google’s webmaster guidelines อย่างเคร่งครัด</li>
<li>การเข้าถึงได้ของเว็บไซต์นั้น การที่หน้าเว็บสามารถใช้งานได้จะถูกโปรดโมทให้อันดับดีกว่า หน้าเว็บที่เข้าได้บ้างเข้าไม่ได้บ้าง เช่นหน้าเว็บไซต์สามารถเข้าชมได้ด้วยความเร็วที่ปกติ ก็จะถูกจัดอันดับก่อน หรือหน้าเว็บที่มีความเร็วในการโหลดช้า ก็จะถูกลดอันดับลงไป </li>
<li>การแสดงผลการค้นหาให้กับผู้ใช้งาน โดยอ้างอิงจากความเกี่ยวข้องกับถิ่นที่อยู่เช่นคำค้น football ถ้าอยู่ในแถบ สหรัฐอเมริกาจะแสดงผลการค้นหา อเมริกันฟุตบอล แต่ถ้าอยู่แถบอังกฤษจะหมายถึง กีฬาฟุตบอล นั่นเอง แล้วทำการแสดงผลการค้นหาที่ถูกต้องที่สุดให้ผู้ใช้งาน</li>
</ol>
<br />
โดยกระบวนการทั้งหมด 5 ขั้นตอนนี้ เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที เท่านั้นเอง จะเห็นได้ว่า Google อัลกอริทึ่ม นั้นฉลาดมากและทำงานได้รวดเร็วมาก ดังนั้นอย่าพยายามที่จะโกงการค้นหาด้วยการทำเทคนิคแนวเทาๆต่างเพราะกูเกิลรู้ทุกอย่าง<br />
<br />
อ้างอิง<br />
<a href="https://www.google.com/search/howsearchworks/algorithms/">https://www.google.com/search/howsearchworks/algorithms/</a><br />
<a href="https://www.webfx.com/internet-marketing/what-is-a-google-algorithm.html">https://www.webfx.com/internet-marketing/what-is-a-google-algorithm.html</a><br />
<a href="https://www.google.com/search/howsearchworks/crawling-indexing/">https://www.google.com/search/howsearchworks/crawling-indexing/</a><br />
<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-21320212285533093552021-09-01T21:08:00.000-07:002019-10-06T00:13:47.465-07:00สิ่งที่ต้องรู้เมื่อคิดจะจ้างทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณการทำ SEO นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าจะช่วยเพิ่มทราฟฟิคให้กับเว็บไซต์ของคุณ และจะช่วยให้คุณมีรายได้เพิ่มขึ้นจากยอดขายของคุณ แต่การทำ SEO ที่ไม่ถูกวิธีนั้นก็ทำร้ายเว็บไซต์และยอดขายของคุณได้เช่นกัน ดังนั้นการที่จะเลือกบริษัทรับทำ เอส อี โอ ควรเลือกให้ดีก่อนที่คุณจะทำการว่าจ้างหรือคุยกันถึงเงื่อนไข และราคา และแนวทางกับบริษัทที่<a href="https://www.seokhonkaen.com/search-engine-optimization">รับทำ SEO</a> ดังกล่าว วันนี้เราจะมาบอกถึงสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนที่จะจ้าง โปรโมทเว็บไซต์<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-mgjYeHgsM5c/XOYczglAPuI/AAAAAAAAHsI/XlSzjWmLqnAIxLlwFPSjRHHKVJpDojuqgCLcBGAs/s1600/MIX%2BSLP4-150ppp-01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1236" data-original-width="1600" height="494" src="https://4.bp.blogspot.com/-mgjYeHgsM5c/XOYczglAPuI/AAAAAAAAHsI/XlSzjWmLqnAIxLlwFPSjRHHKVJpDojuqgCLcBGAs/s640/MIX%2BSLP4-150ppp-01.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
ก่อนอื่นเราขอแนะนำชนิดของการบริการรับทำ SEO กันก่อนว่ามีแบบไหนบ้าง<br />
<br />
<br />
<ol>
<li>ฟรีแลนซ์ ผู้ให้บริการอิสระรับทำ SEO โดยเฉพาะ โดยจะเป็นผู้ที่มีความรู้ในทางด้านนี้โดยตรง และมีความเชี่ยวชาญในด้านทำ SEo </li>
<li>บริษัทรับจ้างทำ SEO โดยเป็นบริษัทที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านดังกล่าวทำงานเป็นทีมภายในบริษัททำงานและให้บริการด้านโปรโมทเว็บไซต์เป็นหลัก</li>
<li>การจ้างพนักงานทำ SEO เต็มเวลาในบริษัทของคุณเอง โดยหลังจกที่คุณมีผลกำไรจากธุรกิจและต้องการจ้างพนักงานด้านนี้โดยตรงในบริษัทของคุณ</li>
</ol>
<div>
<br /></div>
<br />
ดังนั้นการเลือกใช้บริการทำ SEO นั้นคุณสามารถเลือกแต่ละแบบได้ตามความต้องการของคุณ และความสะดวกของคุณเอง จะเห็นได้ว่าการที่จะเลือกวิธีการทำ SEO นั้นค่อนข้างจะต้องพิจารณาให้ดีดังนั้นเราจะมาแนะนำวิธีพิจารณาเลือกใช้บริการกันว่าต้องรู้อะไรบ้าง<br />
<br />
1.คุณจะเริ่มต้นทำ SEO ให้เราอย่างไร กลยุทธในการทำ SEO ของคุณนั้นเป็นอย่างไร เป็นคำถามเพื่อให้ผู้ให้บริการดังกล่าวอธิบายว่า พวกเขาจะช่วยคุณได้อย่างไร 1 2 3 4 โดยการทำอะไรบ้าง ใช้เวลาเท่าไร ใช้เทคนิคอะไรในการโปรโมท หรือมีการวางแผนอย่างไร<br />
2.คุณจะติดตามผลการทำงานของคุณได้อย่างไร บริษัทรับทำ SEO ที่ดีจะต้องมีรายงานการทำงานให้ลูกค้า อย่างน้อยๆ ทุกเดือนว่า ได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง ผลการทำงานมีอะไรปรับ เปลี่ยนไปแล้ว และคาดการว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต ต้องปรับเปลี่ยนตรงไหนอีก เป็นต้น สถิติก่อนทำ กับหลังทำ เปลี่ยนแปลงไปยังไง<br />
3.ผลงานจากลูกค้าที่ผ่านมา หรือ งานล่าสุดที่ทางบริษัท ได้รับทำนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง<br />
4.เทคนิคการโปรโมทเว็บไซต์ ถูกต้องตามหลักที่กูเกิลได้วางไว้ไหม โดยหลักดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผู้รับทำ SEO จะต้องมี และทำตาม ถ้าผิดจากที่กูเกิลได้แนะนำไว้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงเลี่ยงใช้บริการ<br />
5.คุณใช้เครื่องมืออะไรในการทำ SEO เช่นเครื่องมือในการสร้างลิ้งค์ การวร้างรายงาน การวิจัยคีย์เวิร์ด เครื่องมือในการติดตามอันดับ การรายงานผลของอันดับเว็บไซต์<br />
6.ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาคุณจะแก้ไขอย่างไร กรณีที่เว็บมีปัญหา<br />
<br />
<br />
ในเบื้องต้นสิ่งที่คุณจะต้องถาม<a href="https://www.seokhonkaen.com/seo-vs-ppc">บริษัทรับทำ SEO</a> นั้นในเบื้องต้นมีเท่านี้ ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินในในการที่จะจ้างหรือไม่จ้างนั้น ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของคุณเองว่าคำตอบที่ได้จากผู้ให้บริการนั้น ถูกใจคุณมากแค่ไหน<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-44910150960117933572021-08-21T05:39:00.000-07:002019-10-06T00:14:30.939-07:00SEO Guide ในปี 2019 ที่คุณต้องรู้SEO Guide ในปี 2019 นี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจบ้าง อะไรที่เป็นแนวโน้มสำหรับการทำ SEO ในปี 2019 นี้ และในปี หน้า 2020 ผมได้เก็บรวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อที่จะเอามาไว้ในบทความเดียว ซึ่งจะทำให้ง่ายในการอ่าน และไม่ต้องไปศึกษาที่ไหนเพิ่มอีก โดยบทความนี้เป็นความเข้าใจของผมเอง และไม่ได้รับประกันว่าจะถูกต้องทั้งหมด ถ้าหากท่านผู้อ่านเห็นว่า ไม่ถูกต้องหรือน่าเชื่อถือก็กราบขออภัยมานะที่นี้ด้วย หรือมีอะไรแนะนำติชมก็ช่วยคอมเม้นต์ไว้ที่ด้านล่างให้ด้วยครับ ขอบคุณมาก<br />
<br />
Guide สำหรับ <a href="https://www.seokhonkaen.com/2019/05/how-to-hire-seo-services-company.html">On page SEO</a> ในตอนต้นจะขอกล่าวถึงเรื่องนี้ก่อนเพราะเป็นปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ และสามารถจัดการให้มีประสิทธิภาพได้มากกว่า<br />
<br />
สำหรับเทร็นด์ในการ<a href="https://www.seokhonkaen.com/">ทำ SEO</a> ในปีนี้นั้นก็จะมีหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงและทางอ้อมในการทำ SEO โดยผมจะเรียงจากสิ่งที่มีผลกระทบมาก ไปน้อยตามลำดับความสำคัญก่อนแล้วกันเรามาเริ่มกันเลย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img alt="รับทำ SEO ขอนแก่น" border="0" data-original-height="800" data-original-width="1600" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-swaGuCLJa80/XPJxji6xy9I/AAAAAAAAH1s/oPuaFCuW5MIh3FyPEOgPYOdIgu_G4M39wCLcBGAs/s640/SEO2019.jpg" title="รับทำ SEO ขอนแก่น" width="640" /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<br />
<h3>
RankBrain และ User experience </h3>
เป็นสิ่งที่จะมีผลกระทบมากที่สุดในการทำ SEO ในปี 2019 นี้โดย Google พยายามเน้นในส่วนของ User experience ในการใช้งานเว็บไซต์ของคุณโดยหัวใจหลักคือ ผู้ใช้งาน หรือผู้เยี่ยมชมที่เข้าไปยังเว็บไซต์ของคุณ ต้องทำให้ผู้ใช้งานนั้นได้รับประสบการการใช้งานที่ดีที่สุด หมายถึงอะไร ? หมายถึงว่าเมื่อผู้ใช้งานเข้าไปยังเว็บไซต์ของเราแล้ว เขาจะต้องได้ในสิ่งที่เขากำลังหาอยู่<br />
<br />
และสิ่งที่อยู่ในนั้นต้องตอบคำถามในสิ่งที่เขากำลังค้นหาให้มากที่สุด เช่นผู้ใช้งานค้นหาคำว่า โรงแรมขอนแก่น เพราะเขาต้องการที่จะจองโรงแรมที่พักในจังหวัดขอนแก่น สิ่งแรกที่เราจะต้องให้ลูกค้าเห็นคือ ห้องพักของเรา ราคาห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวก สถานที่ตั้ง ตามลำดับไม่ใช่ไปขายแนวคิด หรือจุดขายอื่นๆที่เขาไม่ต้องการ หาที่พัก ต้องได้ที่พัก ไม่ใช่วาเราเอารายละเอียดที่พักไปอยู่ช่วงกลางๆของเว็บไซต์ หรือผู้ใช้ไม่มีเวลาเข้ามาดูโชว์แอนนิเมชั่นที่อยู่หัวเว็บของคุณหรอก เขาไม่สนใจและยังคิดว่ามันรกเกะกะเสียด้วยซ้ำ แถมยังทำให้หน้าเว็บโหลดช้าอีก ถ้าลองคิดว่าเป็นคุณ คงไม่แคล้วกด Back เพื่อกลับไปดูผลการค้นหาอันดับอื่นๆเป็นแน่ นั่นส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเว็บไซต์ของคุณ ข้อย้ำว่า “ใหญ่หลวง” เพราะว่าระบบ AI ของกูเกิลที่เรียกว่า RankBrain จะทำการ”ลดอันดับ” ของเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาคีย์เวิร์ดนี้ในครั้งต่อไป ในทันที<br />
<br />
โดยเจ้า RankBrain นี่จะใช้ 2 สิ่งในการที่จะประเมินเว็บไซต์ของคุณว่าเว็บไซต์ของคุณควรอยู่ตำแหน่งไหน คือ เวลาที่อยู่บนหน้าเว็บ กับ CTR<br />
ง่ายๆ ถ้าผู้เยี่ยมชมเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ แล้วอยู่ในหน้านั้นนานกูเกิลจะมองว่า หน้านั้นต้องดีมีคุณภาพแน่นอน การที่อยู่ในหน้านั้นนาน อาจจะเกิดจากผู้เยี่ยมชมกำลัง อ่านหรือดูหน้าเว็บของคุณอยู่อย่างตั้งใจเพราะเนื้อหาในหน้านั้นดีมีคุณภาพ ส่วน CTR คืออัตราการคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณจากหน้าผลการค้นหา ถ้ามีคนคลิกเข้ามาเยอะก็แสดงว่าเว็บไซต์ของคุณต้องมีเนื้อหาที่ดีน่าสนใจ ดังนั้นด้วยปัจจัยทั้ง 2 ข้อนี้จึงทำให้ กูเกิล RankBrain เพิ่มอันดับให้เว็บไซต์ของคุณให้อยู่ในอันดับที่ดี<br />
<br />
<h3>
CTR Click Through Rate</h3>
<br />
การเพิ่ม CTR นั้นมีความสำคัญอย่างมากสืบเนื่องมาจาก RankBrain นั่นเองที่ทำให้คุณจำเป็นที่จะต้องหาทางเพิ่ม ของเว็บไซต์ของคุณ แล้วการที่จะเพิ่ม CTR หรือ Click Through Rate นั้นสามารถทำได้อย่างไร<br />
<br />
การที่จะเพิ่ม CTR นั้นมีหลายปัจจัยแต่สรุปสั้นๆเข้าใจง่ายก็คือทำอย่างไรที่จะทำให้คนสนใจคลิกลิงค์ของเว็บไซต์ของเรา คุณจะเห็นได้ว่าในหน้าผลการค้นหาของกูเกิลนั้นจะประกอบไปด้วย ผลการค้นหาของเว็บไซต์ในคีย์เวิร์ดต่างๆ เรียงลำดับกันขาก อันดับ 1 ถึง 10 จะเห็นได้ว่าผลการค้นหานั้นจะนำเอาข้อมูลจากเว็บเรา 2 ส่วนมาใช้ในการแสดงในหน้าผลการค้นหา ได้แก่ Title หรือหัวข้อบทความนั่นเอง ต่อมาก็คือ Description ซึ่งเป็นข้อความจากพารากราฟแรกในบทความของเรา<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img alt="SEO Guide ในปี 2019" border="0" data-original-height="630" data-original-width="1000" height="402" src="https://1.bp.blogspot.com/-OQ1KmOdDbao/XPJwEMipLvI/AAAAAAAAH1U/erO3AoXY6ccrZircu0KNSW6tQoXe9AoFgCLcBGAs/s640/ctr.jpg" title="SEO Guide ในปี 2019" width="640" /></div>
<br />
<br />
Title และ Description นี่คือสิ่งที่คุณมีซึ่งทั้ง Title และ Description นี่คุณสามารถปรับแต่งได้ที่เว็บไซต์ของคุณเอง คุณสามารถทำการเลือกใช้คำที่ดึงดูด น่าสนใจ โน้มน้าว อย่างไรก็ได้ที่จะทำให้ผู้ใช้งานคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ โดยมีเงื่อนไขว่า ในนั้นต้องมีคีย์เวิร์ดที่เราต้องการทำอันดับ อยู่ในนั้นด้วย ขอนี้สำคัญมากและTitle ไม่ควรมีความยาวเกิน 60 ตัวอักษร เพราะผลการค้นหา แสดงได้แค่นั้นเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ กลับจะส่งผลเสียด้วยซ้ำ แล้วคำถามว่าเราจะตั้ง Title อย่างไรเพื่อให้ ดึงดูดและน่าสนใจ<br />
<br />
ตามที่กล่าวมาด้านบน วิธีง่ายๆ คือลองศึกษาจากการค้นหาในคีย์เวิร์ดต่างๆ แล้วศึกษาถึงการใช้คำของพวกเขาว่าเว็บไซต์อื่นเขาใช้คำแบบใด โดยคุณคิดว่าลิงค์แบบไหนที่คุณได้อ่านแล้วต้องการคลิกเข้าไปดูทันทีหลังจากที่ได้อ่าน แล้วนำมาปรับใช้กับการเขียน Title ในบทความของคุณ นอกจาก Title แล้วในส่วนของ Description ก็สำคัญเช่นกันโดยหลักการเขียน Description ที่ดีนั้นคือ<br />
<br />
สรุปสิ่งที่อยู่ในหน้านั้นให้ผู้อ่านได้ทราบว่า หน้านั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร มีเนื้อหาชวนให้คลิกเช่นอ่านต่อ เรียนรู้เพิ่มเติม อย่าใช้สัญลักษณ์ในข้อความ เพราะเสิร์จเอนจิ้นไม่เข้าใจ และอย่าสรุปเนื้อหาทั้งหมด ควรเขียนข้อความให้คนเข้ามาอ่านต่อ และต้องเป็นสำนวนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง แตกต่างจากคู่แข่ง โดยวิธีการเขียน Description ที่ดีนั่นคือการฝึกจากการค้นหาและเลือกว่า แบบไหนที่คุณได้อ่านปุ๊บแล้วถูกใจจนอยากคลิกเข้าไปดูแล้วนำมาปรับใช้<br />
<br />
นอกจากวิธีดังกล่าวแล้วคุณยังสามารถใช้งาน Featured Snippet โดยการใส่ข้อมูลที่มีโครงสร้างลงในเว็บไซต์ของคุณเพื่อที่จะให้ Search Engine ทำการเก็บข้อมูลและนำเอามาแสดงบนผลการค้นหา ซึ่งหากคุณสามารถแสดงผล Featured Snippet ได้จะเป็นการเพิ่ม CTR ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้ถึง 26% เลยทีเดียว ซึ่งการทำ Featured Snippet นั้น Google ก็ได้มีเอกสารแนะนำอยู่โดยคุณนั้นสามารถไปศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองได้เลย<br />
<br />
<h3>
บทความภายในเว็บไซต์ </h3>
<br />
ก็มีความสำคัญสำคัญมากเช่นกัน โดยบทความนั้นไม่ว่าจะเป็น บล็อก หรือบทความเผยแพร่ต่างๆนั้นควรที่จะมีการอัพเดทอยู่เป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งโดยบทความนั้นจะต้องเขียนในหัวข้อที่เกี่ยวของกับเว็บไซต์ของเราหรือใช้คีย์เวิร์ดที่เราต้องการที่จะทำอันดับในคำค้นนั้นๆ เช่นเว็บไซต์เราเป็นเว็บไซต์ของโรงแรม และให้บริการห้องพักในจังหวัดขอนแก่น บทความที่เราควรเขียนนั้นควรเกี่ยวกับ โรงแรม ที่พัก หรือกิจกรรมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดที่ธุรกิจเราตั้งอยู่ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้า<br />
<br />
จากการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมของเรา บทความควรจะเป็นในแนว “โรงแรมที่อยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดขอนแก่น” “รวมสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดขอนแก่น” หรือบทความอื่นๆที่ใกล้เคียง และมีเงื่อนไขว่าบทความนั้น จะต้องมีความยาวอย่างน้อย 1200 คำหรือมากกว่า โดยบทความยิ่งยาวจะยิ่งดีโดยความยาวบทความที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 2000-5000 คำนั้นจะสามารถทำอันดับได้ดีมากกว่าบทความที่สั้น<br />
<br />
เพราะว่ากูเกิลชอบบทความที่ยาวๆ มีการใส่คำคีย์เวิร์ดที่ใกล้เคียงลงในบทความเพื่อหวังผลจากการค้นหาด้วยคำที่ยาวๆ เช่น “เที่ยวขอนแก่น” แทนที่เราจะใช้ คีย์เวิร์ดนี้ทั้งบทความเราอาจจะเลี่ยงใช้คำอื่นๆที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เพื่อที่จะหวังผลจากคีย์เวิร์ดใกล้เคียงเช่น ”สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดขอนแก่น” และบทความควรจะเขียนให้ครอบคลุมถึง คำค้นที่ เกี่ยวข้องโดยเราจะหาได้จากหน้าผลการค้นหา ด้านล่างสุด<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img alt="การเขียนบทความเพื่อ SEO" border="0" data-original-height="656" data-original-width="910" height="460" src="https://1.bp.blogspot.com/-gCk69fLuIZs/XPJwEXG9teI/AAAAAAAAH1c/Scvn0bGkRDQs_0HXzqPVfIqOXFie3su1QCEwYBhgL/s640/%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%2BSEO.jpg" title="การเขียนบทความเพื่อ SEO" width="640" /></div>
<br />
และมีการนำคำพวกนี้มาใช้ในบทความไม่เกิน 2ครั้งในบทความจะเหมาะสมที่สุด และการเขียนบทความที่ดีนั้นควรที่จะเขียนเหมือนคนรู้ลึก รู้จริงในสิ่งที่เราเขียนอยู่ เช่นการเขียนบรรยายสถานที่ท่องเที่ยวที่เราเอ่ยถึงในบทความของเรานั้นเราต้องเคยไปจริงๆ หรือมีการศึกษาข้อมูลสถานที่นั้นจริงๆ บทความจะลงลึกน่าอ่านและข้อมูลในบทความก็จะเป็นข้อมูลเชิงลึกจริงๆ ซึ่งกูเกิลโปรดปรานข้อมูลประเภทนี้เป็นที่สุด และข้อสุดท้าย พยายามเขียนบทความที่อยู่ได้นาน ไม่ตกเทร็นด์เร็วเกินไป หรือเป็นบทความที่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปกี่เดือนคนก็ยังจะหาอ่านบทความแระเภทนี้ อยู่เสมอๆนั่นเอง<br />
<br />
<h3>
โครงสร้างของเว็บไซต์ </h3>
<br />
เว็บไซต์ของเรานั้นก่อนที่จะมีการเปิดตัวเว็บไซต์ เราจะต้องวางโครงสร้างของเราให้รองรับการทำ SEO เสียก่อนโดยหรือในกรณีที่เรามีเว็บไซต์อยู่แล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องปรึกษาผู้ให้บริการรับทำ SEO แนะนำในการวางโครสร้าง หรือปรับแก้โครงสร้างของเว็บไซต์ให้รองรับ หรือเหมาะสมตามโครงสร้างที่ Search Engine วางไว้ให้ครบทุกข้อ ซึ่งผู้ให้บริการ SEO สายเทคนิคัลจะให้คำแนะนำที่ดีให้กับคุณได้<br />
<br />
เพราะในจุดนี้คุณไม่สามารถแก้ไขต่างๆได้เองอยู่แล้ว การปรับแต่งเว็บไซต์นั้นเป็นการทำงานที่ค่อนข้างจะใช้เทคนิคค่อนข้างสูงและมีรายละเอียดยิบย่อยค่อนข้างมาก งานส่วนมากเป็นการแก้โค้ด HTML PHP หรืออื่นๆที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ของเรา เว็บไซต์ในปัจจุบันนี้ จะต้องรองรับการใช้งานผ่านสมาร์ตโฟนกันหมดแล้ว และ กูเกิลเองก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก ดังนั้นจำเป็นมากเหลือเกินที่จะต้องมีการทำให้เว็บไซต์นั้นรองรับการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ<br />
<br />
ทำไมถึงต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ออกแบบเว็บไซต์ เพราะว่าหากคุณไปจ้างบริษัทออกแบบเว็บไซต์ คุณจะได้เว็บไซต์ที่ถูกใจคุณ สวยงามตามที่คุณต้องการ แต่ส่วนมากไม่รองรับ SEO 100 % จะต้องมีการแก้เล็กๆน้อยๆเพื่อให้เหมาะสมกับที่ กูเกิลได้ให้แนวทางไว้ โดยรายละเอียดส่วนนี้ในบทความนี้เราจะไม่ได้อธิบายไว้เพราะเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างเป็นไปในเชิงเทคนิคและ เป็นเทคนิคของนักทำ SEO ของแต่ละราย SEO Specialist แต่ละรายจะสามารถให้คำแนะนำในการวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีให้กับคุณได้ ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณนั้นสามารถทำอันดับได้ดีในผลการค้นหาได้<br />
<br />
เราแนะนำให้คุณศึกษา บทความ <a href="https://www.seokhonkaen.com/2019/05/how-to-hire-seo-services-company.html">สิ่งที่ต้องรู้เมื่อคิดจะจ้างทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ</a><br />
และ <a href="https://www.seokhonkaen.com/2019/05/search-engine-optimization.html">SEO คืออะไร ?</a><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-64436328670499095812021-08-01T09:18:00.000-07:002019-10-06T00:15:24.953-07:00รวม 23 Technical SEO Tactics สำหรับปรับแต่งเว็บไซต์ให้รองรับ SEO แบบเต็มสูบรวม Technical SEO Tactics สำหรับใช้ในการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้รองรับ SEO แบบเต็มสูบสำหรับนักทำ SEO เริ่มต้นอย่างผม และคุณได้ทำการปรับแต่งเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็นเว็บที่สร้างขึ้นและเปิดตัวไปแล้ว และเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้เริ่มสร้าง โดยข้อมูลเหล่านี้เป็นการรวบรวมมาจากความเข้าใจของผมเองนะครับ อาจจะถูกบ้าง ผิดบ้าง ก็ต้องขออภัยจริงๆ ถ้าตกล่นตรงไหนก็แนะนำตักเตือนกันมาก็แล้วกัน จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง บทความนี้จะเป็น<a href="https://www.seokhonkaen.com/">การทำ SEO แบบสายขาว</a>ล้วนนะครับ ไม่มะโน ไม่มีลิงค์ SEO Cloud ระดับเทพรอรับอันดับทุกวันเหมือนที่อื่นๆ เราเน้นทำ SEO แบบ OTOP อ.บ.ต. หนึ่งตำบล หนึ่ง SEO หากท่านกำลังมองหา SEO ระดับเทพละก็ปิดหน้านี้ไปเลย<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1506" data-original-width="1600" height="602" src="https://1.bp.blogspot.com/-HGfbIHiTV3A/XQ5UStV0dlI/AAAAAAAAIYI/PzpzNCLAN3sj4MdSbN7M1M3PSyNZIr6XwCLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3_SEO_%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599.jpg" width="640" /></div>
<br />
บทความนี้จะเน้นการปรับแต่งเว็บไซต์ตามที่แจ้งไว้ในครับ ส่วนมากจะเป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่มองข้ามไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว จงอย่าลืมว่า <a href="https://seokhonkaen.wordpress.com/">SEO</a> Score ต่างกันแค่แต้มเดียวนั้นก็สร้างความแตกต่างอย่างมากมายได้เช่นกันเรามาเข้าเรื่องกันเลย<br />
<br />
<h3>
<a href="https://www.seokhonkaen.com/">Technical SEO</a> Tactics </h3>
<br />
1.ทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ สมาร์ตโฟน โดยทำให้สามารถแสดงเว็บไซต์แบบ responsive เมื่อเข้าชมด้วยสมาร์ตโฟน เพราะเว็บไซต์ที่ไม่รองรับ จะถูกลดอันดับลง เพราะว่าให้ประสบการณ์ที่ไม่ดีกับผู้ใช้ในการเข้าเว็บ<br />
<br />
2.ทำให้เว็บไซต์รองรับ มาตรฐาน SSL เพราะว่าทำให้เว็บไซต์มีความปลอดภัยมากกว่าที่ไม่มี การติดตั้งและหากมีการใช้งานข้อมูลสำคัญก็จะทำให้ผู้ใช้งานเกิดความมั่นใจ ถึงแม้ว่าตอนนี้ทางกูเกิลก็ออกมาบอกว่าไม่มีผลต่ออันดับ แต่ในอนาคตไม่แน่ยังไงก็มีไว้ดีกว่าไม่มีสร้างความเชื่อใจให้ลูกค้าดีกว่า<br />
<br />
3.ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วที่สุด โดยตัวนี้เพิ่งทำการเพิ่มเข้ามาเป็นหนึ่งแฟคเตอร์ที่สำคัญ ในการพิจารณาอันดับจากกูเกิล โดยการพยายามการโหลดไฟล์ต่างๆที่ไม่จำเป็น หรือลดขนาดไฟล์ให้มีขนาดเล็กลง จะช่วยให้เว็บโหลดได้เร็วขึ้น<br />
<br />
4.ใช้ข้อมูลจาก Google Analytics ในการวิเคราะห์เว็บไซต์ โดยสามารถติดตามสถิติต่างๆในเว็บไซต์ของเราได้อย่างละเอียดมากว่าผู้ใช้มาจากไหน ทำอะไรบ้าง อยู่นานแค่ไหน และอื่นๆที่เราสามารนำเอาข้อมูลต่างๆมาปรับปรุ่งเว็บไซต์ของเราได้<br />
<br />
5.ใช้งาน Google Search Console เพราะคุณสามารถรับทราบปัญหาต่างๆที่เกิดในเว็บไซต์คุณได้ทันทีและสามารถแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆได้อย่างถูกต้อง<br />
<br />
6.สร้าง Sitemap.xml ในการส่งไปเพื่อให้ Google พิจารณาผ่านทาง Google Search Console<br />
<br />
7. ติดตามรูปแบบของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อที่จะสามารถเลือกคีย์เวิร์ดให้ถูกกลุ่มเป้าหมายหลักของเว็บไซต์ ว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์เราเป็นกลุ่มคนที่มีอายุเท่าไหร่ ระดับไหน วัยเรียน ทำงาน หรือวัยชรา เพื่อที่จะได้เลือกเนื้อหาในเว็บไซต์ให้เหมาะสม<br />
<br />
8.ศึกษาคู่แข่งของคุณ ว่าพวกเขาเหล่านั้นใช้เทคนิคอะไรอยู่ และจะเอาชนะเขาได้อย่างไรด้วยการวิเคราะห็ข้อมูลที่หาได้จากเว็บไซต์ของคู่แข่ง<br />
<br />
9.ใช้ทั้งคีย์เวิร์ดหลัก และ คีย์เวิร์ดแบบ Long Tail เพื่อเพิ่มปริมาณ ทราฟฟิค ทีละเล็กที่ละน้อย รวมๆกันเข้าแล้วก็มากขึ้นแน่นอน ไม่สมควรที่จะมองข้าม long-tail keywords<br />
<br />
10.หาคีย์เวิร์ดที่ใกล้เคียง และเกี่ยวข้องในเว็บไซต์ของเรา เพราะว่า ทราฟฟิค จำนวนหนึ่งอาจจะมาจากคีย์เวิร์ดที่ไม่ได้ตรงตัวเสียทีเดียวที่จะทำให้ผู้เยี่ยมชมมายังเว็บไซต์ของเรา<br />
<br />
11.หาคีย์เวิร์ดหลักที่คู่แข่งของคุณใช้ และพยายามสร้างเนื้อหาในคีย์เวิร์ดดังกล่าวด้วยเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งของคุณ<br />
<br />
12.เลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดก่อนการอันดับ โดยเลือกคีย์เวิร์ดที่สามารถนำไปสู่การขายมากที่สุดก่อน และคู่แข่งในคำค้นน้อยก่อนจะไปเล่นคีย์ยาก<br />
<br />
13.เนื้อหาในแต่ละหน้าต้องเป็นเนื้อหาที่ดี มีคุณค่า และมีความยาวอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 500 ตัวอักษร ยิ่งยาวยิ่งดี อาจจะสัก 1200 -3500 คำไทยจะเหมาสมมาก<br />
<br />
14.ในบทความควรมีคำสำคัญที่จะใช้ทำอันดับ 2-3 คำใน 100 คำของ บทความเท่านั้น และคิดเป็น 2-3 เปอร์เซ็นต์ในบทความ ไม่มากไม่น้อยกว่านี้จะเหมาะสมที่สุด<br />
<br />
15.มีการใช้คีย์เวิร์ดหลักในชื่อบทความ<br />
16.มีการใช้คีย์เวิร์ดหลักใน meta description<br />
17.มีการใช้คีย์เวิร์ดหลักในย่อหน้าแรกของบทความ<br />
18.มีการใช้คีย์เวิร์ดหลักในชื่อภาพ และ alt tag<br />
19.มีการใช้ชื่อภาพด้วยคีย์เวิร์ดหลัก เช่น seo.jpg<br />
20.มีการใช้คีย์เวิร์ดหลักใน URL ของบทความนั้นๆ<br />
21.ใช้โครงสร้าง URL ที่เข้าใจได้เป็นคำๆ ไม่ใช่ใช้ตัวเลขที่ไม่สื่อความหมาย<br />
22.ใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้าง ในเว็บไซต์เช่น images, reviews และ product prices<br />
23.ตรวจหา duplicated content ภายในเว็บไซต์<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-43342769385996190272021-03-08T20:58:00.002-08:002021-03-08T21:03:50.154-08:00สอน SEO หรือ คอร์ส SEO <p> สอน seo หรือ คอร์ส SEO ในปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมในการศึกษากันอย่างแพร่หลายเนื่องจากว่าการเข้ามาของ Internet Marketing ที่ทำให้คุณนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการทำ seo ไม่ว่าจะเป็นการทำ seo สำหรับเว็บไซต์วีดีโอ Facebook หรือการทำ seo สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่อยู่บน marketplace ต่างๆไม่ว่าจะเป็น Lazada shopee jd Central หรือแพลตฟอร์มอื่นๆนั้นในการที่จะใช้งานให้ได้เต็มหรือภาพนั้นผู้ใช้งานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับ search engine optimisation ให้ดีเสียก่อนที่จะไปทำธุรกิจออนไลน์</p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-fP4iz0ULbMk/YEcBnytGOPI/AAAAAAAATk4/ziMcBZaIeJs-qvRAefUCuNEjJHc4-cMSgCLcBGAsYHQ/s1280/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%2BSEO.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="720" data-original-width="1280" height="360" src="https://1.bp.blogspot.com/-fP4iz0ULbMk/YEcBnytGOPI/AAAAAAAATk4/ziMcBZaIeJs-qvRAefUCuNEjJHc4-cMSgCLcBGAsYHQ/w640-h360-rw/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%2BSEO.jpg" width="640" /></a></div><br /><p><br /></p><p>โดย seo นั้นคือการปรับแต่งอะไรก็ตาม ให้สามารถทำอันดับได้ดีในระบบ Search โดยในระบบทุกอย่างที่มีการค้นหาข้อมูลได้นั้นจะสามารถที่จะทำการปรับแต่งให้อยู่ในอันดับต้นๆของระบบการ search ได้ทั้งนั้นโดยลูกการ search นั้นจะใช้ algorithm ในการค้นหาชุดข้อมูลที่มีความเข้ากันได้มากที่สุดแล้วนำมาแสดงผลให้กับผู้ที่ทำการค้นหาดังนั้นไม่ว่าจะเป็นระบบการค้นหาใดๆก็ตามที่มีการค้นหาคุณจะสามารถที่จะทำการปรับตั้งหรือปรับแต่งให้สิ่งที่คุณต้องการนั้นสามารถที่จะทำการทำอันดับหรือแสดงผลออกมาในตำแหน่งที่ดีที่สุดได้</p><p><br /></p><p>ดังนั้นจึงเรียกได้ว่า seo นั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์สามารถที่จะนำเอาไปใช้ในการทำงานต่างๆได้อย่างหลากหลายเหมาะสำหรับผู้ที่จะนำเอาวิธีการดังกล่าวไปใช้งานหรือนำเอาไปปรับใช้ในการทำงานในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับ internet Marketing ในการขายสินค้านำเสนอเนื้อหาหรือบริการต่างๆผ่านทางระบบออนไลน์นั้นการเข้าถึงลูกค้าด้วยระบบ search เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมีต้นทุนที่ถูกและสามารถที่จะทำได้ง่ายมากกว่าวิธีอื่น</p><p><br /></p><p>การทำ seo นั้นบางคนจะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ยากแต่จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่ง่ายตรงไปตรงมามากที่สุดโดยการที่จะเข้าใจระบบ search ให้ดีนั้นจะช่วยให้คุณสามารถที่จะทำการ ทำ seo ได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้คุณนั้นสามารถที่ใช้ประโยชน์จากระบบ search ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด</p><p><br /></p><p>และสำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่ สอน seo หรือคอร์ส สอน SEO ในปัจจุบันนี้ จำเป็นที่จะต้องเลือกให้ดี เพราะว่าการไปเลือกเรียนกับผู้ที่ไม่รู้จริงและไม่เข้าใจการทำงานรวมถึงวิธีการในการปรับแต่งเว็บไซต์อย่างถูกวิธีนั้นจะทำให้คุณเสียเวลาและเสียเงินในการที่จะไปเรียนโดยที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมาเลยมิหนำซ้ำยังได้วิธีการทำที่ผิดๆแนวคิดที่ผิดในการที่จะนำมาใช้งานซึ่งอาจจะทำให้คุณนะหลงทางและเสียเวลาซึ่งเวลานั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดการเสียเวลาแม้เพียง 1-2 วันและหลงทางในการทำ seo เป็นปีๆแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอันดับของเว็บไซต์ในระบบ search engine ต่างๆได้นั้นจะทำให้คุณเสียโอกาสและเสียเวลาโดยในการที่จะเลือกที่เรียนหรือเลือกผู้สอนในการทำ seo ที่ดีนั้นคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่ที่จะต้องพิจารณามากมายหลากหลายปัจจัยเพื่อที่จะช่วยให้คุณนั้นสามารถจะเลือกผู้สอนการทำ seo ที่ดีที่สุดซึ่งจะช่วยให้คุณนั้นเข้าใจในการทำ seo ให้ดีที่สุดไม่หลงทางหรือเสียเวลาไปเรียนกับผู้ที่ไม่รู้จริงนั่นเอง</p><p><br /></p><h3 style="text-align: left;">สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนที่จะทำการเรียน seo</h3><p><br /></p><h4 style="text-align: left;">1.ควรเลือกเรียนกลับผู้ที่มีความรู้ในด้าน seo จริงๆ</h4><p><br /></p><p>ผู้ที่มีความรู้ในด้าน seo จริงๆนะเราจะรู้ได้อย่างไรผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับ seo จริงนั้นจะต้องสามารถที่จะทำการปรับแต่งเว็บไซต์หรือหน้าเว็บไซต์ของคอร์สเรียนของตัวเองให้อยู่ในอันดับต้นภายในหน้าการค้นหาที่ใช้ keyword คำว่า สอน seo หรือ คอร์สเรียน seo เพราะถ้าเพียงแค่ keyword คำนี้ผู้สอนไม่สามารถที่จะทำการปรับแต่งได้อย่างอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถสอนเราได้ดีหรือสามารถที่จะแนะนำให้เราทำ seo ได้อย่างถูกต้องได้</p><p><br /></p><h4 style="text-align: left;">2.มีประสบการณ์ในการทำงานด้าน seo จริง</h4><p><br /></p><p>คนสอน seo นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในด้าน seo จริงๆและเนื่องจากว่าในวงการ seo นั้นเทคนิคในการทำ seo ต่างๆรวมถึงวิธีการในการทำ seo ที่ถูกต้องจะมีการปรับเปลี่ยนและอัพเดทอยู่ตลอดเวลาดังนั้น เทคนิคในการทำ seo เมื่อ 3 ปีที่แล้วกับในปัจจุบันนี้จะแตกต่างกันมากไม่สามารถที่จะใช้อ้างอิงหรือเทียบเคียงกันได้ดังนั้นควรที่จะเลือกผู้สอน seo ที่มีการอัพเดทข้อมูลที่ล่าสุดอยู่เสมอซึ่งจะช่วยให้คุณนั้นสามารถที่จะเข้าใจเทคนิคและวิธีการในการทำ seo ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้</p><p><br /></p><h4 style="text-align: left;">3.ไม่สอนหรือแนะนำผู้ทำ seo ไปทำผิดวิธี</h4><p><br /></p><p>สำหรับผู้สอน seo ที่แนะนำให้ไปใช้เทคนิค Black Hat หรือสายเทาหรือสายดำนั้นอย่างเช่นการยิงลิงค์จะหลายๆ เว็บไซต์หรือการสร้าง backlink นั้นให้สงสัยไว้ก่อนว่า ผู้สอน seo นั้นไม่มีความรู้จริงเกี่ยวกับการทำ seo และเป็นนักทำ seo สายดำซึ่งคนทำ seo สายดำนั้นไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปเรียนด้วยเนื่องจากว่าเป็นเทคนิคที่มักง่ายและ ไม่ยั่งยืนจะทำให้คุณเสียทั้งเวลาและเสียค่าเงินในการที่จะไปเรียนเทคนิคซึ่งมันมีอยู่แล้วในอินเทอร์เน็ต</p><div><br /></div>Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0Khon Kaen, Mueang Khon Kaen District, Khon Kaen 40000, Thailand16.4321938 102.8236214-11.878040036178845 67.6673714 44.742427636178846 137.97987139999998tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-80767730153698116702021-02-24T16:46:00.004-08:002021-02-24T18:07:54.740-08:00 สิ่งที่ยากที่สุดในการทำ seo คืออะไร?<p>วันนี้ <a href="https://www.seokhonkaen.com/">รับทำ SEO ขอนแก่น</a> จะมาพูดเกี่ยวกับ สิ่งที่ยากที่สุดในการทำ SEO สำหรับผู้ทำ seo มือใหม่นั้นอาจจะเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการทำ seo นั้นคืออะไรแล้วเราจะสามารถที่จะทำการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้โดยข้อมูลภายในโพสต์นี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นซึ่งผู้อ่านจะเห็นด้วยหรือไม่ในส่วนนี้คุณสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นได้ในช่อง comment ด้านล่าง</p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-Xnkp_H2vThM/YDcGbg6yugI/AAAAAAAATgE/Th0Dhf0W-oA0plJFPnJOlAP1ZrsEJs6OQCLcBGAsYHQ/s1920/SEO%2B%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="890" data-original-width="1920" height="296" src="https://1.bp.blogspot.com/-Xnkp_H2vThM/YDcGbg6yugI/AAAAAAAATgE/Th0Dhf0W-oA0plJFPnJOlAP1ZrsEJs6OQCLcBGAsYHQ/w640-h296/SEO%2B%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599.jpg" width="640" /></a></div><br /><p><br /></p><p>สิ่งที่ยากที่สุดในการทำ seo นั่นก็คือการทำเนื้อหาให้กับเว็บไซต์เพื่อที่จะทำให้บทความนั้นสามารถที่จะทำอันดับได้ดีโดยนอกจากความยากในการที่จะเขียนบทความต่างๆให้ดีแล้วความต่อเนื่องและวินัยในการเขียนบทความนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสร้างเนื้อหาสำหรับเว็บไซต์และการทำ seo ซึ่งเกือบ 70 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของ seo นั้นจะอยู่ที่การสร้างเนื้อหาหรือการเขียนบทความที่เป็นบทความแบบตัวอักษรเท่านั้นโดยการทำ seo สำหรับเว็บไซต์นั้นเราจะเน้นในการสร้างเนื้อหาที่เป็นเนื้อหาที่เป็นตัวอักษรที่เป็นเทคนิคและรูปภาพเท่านั้นแต่ถ้าเราเน้นเนื้อหาที่เป็นวีดีโอนั้นแนะนำให้ไปใช้งานเว็บไซต์ผู้ให้บริการวีดีโออย่าง YouTube หรือ facebook น่าจะเหมาะสมและสำหรับเว็บไซต์แล้วจะเน้นไปในเรื่องของบทความที่เป็นตัวอักษรเป็นหลัก</p><p><br /></p><p>โดยบทความสำหรับเว็บไซต์หรือสำหรับหน้าเพจต่างๆที่จะทำ seo นั้นตัวบทความนั้นจะต้องเป็นบทความที่ถูกเขียนมาอย่างดีและมีการเรียบเรียงรวมถึงมีสาระสำคัญต่างๆและเป็นประโยชน์กับผู้อ่านบทความประเภทนั้นจึงจะสามารถที่จะทำอันดับได้ดีโดยการเขียนบทความให้ตรงกลุ่มเป้าหมายนั้นจะช่วยให้คุณนั้นสามารถที่จะทำการเรียกคลาสสิคหรือดึงผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เข้ามายังเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่องโดยการเขียนเนื้อหาที่มีประโยชน์มีความยาวสามารถที่จะตอบคำถามของผู้ค้นหาข้อมูลได้ครอบคลุมและมีความต่อเนื่องในการสร้างเนื้อหาเขียนเนื้อหาหรือบทความ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เว็บไซต์นั้นมีชีวิตและประสบผลสำเร็จในการที่จะทำอันดับ nike วัดต่างๆที่เราต้องการ</p><p><br /></p><p>โดยความต่อเนื่องของการเขียนบทความและสร้างคอนเทนต์สำหรับเว็บไซต์นั้นถ้าเป็นไปได้ในเว็บไซต์รักของเรานั้นควรที่จะมีเนื้อหาที่ทำการเผยแพร่อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 บทความหรือถ้าจะให้ดีคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเขียนบทความที่เกี่ยวข้องและตรงกลุ่มเป้าหมายทุกวันซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณนั้นมีอัตราการเจริญเติบโตที่ต่อเนื่องและช่วยให้ google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ของคุณโดยท่านคุณมีการอัพเดตหรือสร้างเนื้อหาใหม่ๆขึ้นมาเรื่อยๆทางบัตร google เองก็จะเข้ามาทำการเก็บหน้าเว็บหรือเก็บข้อมูลที่หน้าเว็บไซต์ของคุณอยู่เป็นประจำทุกวันเมื่อเปรียบเทียบกันกับการเขียนบทความเดือนละ 1 ครั้งหรืออาทิตย์ละ 1 ครั้งซึ่งกว่าบทความจะถูก index และนำไปแสดงผลบทการค้นหาของ google นั้นจะมีระยะเวลาในการเก็บข้อมูล index และนำไปแสดงผลการค้นหาที่นานกว่า</p><p><br /></p><p>และปัญหาหลักๆของผู้ที่สร้างเนื้อหาสำหรับการทำ seo นั้นก็คือเนื้อหาตันหรือไม่รู้ว่าจะเอาเนื้อหาอะไรมาเขียนดีหรือจะเขียนเนื้อหาให้ครอบคลุมหรือทำเนื้อหาแบบไหนดีถึงจะเหมาะสมที่จะทำให้เว็บไซต์ของเรานั้นมีทราฟิกที่เพิ่มมากขึ้น </p><p><br /></p><p>ดังนั้นสรุปว่าเนื้อหาและความต่อเนื่องของการสร้างเนื้อหานั้นเป็นส่วนที่ยากที่สุดสำหรับการทำ seo ไม่ว่านักทำ seo ทั้งมือเก่าหรือมือใหม่จะต้องประสบพบเจอกับปัญหานี้อย่างแน่นอน.</p><p><br /></p><p>เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความที่เราได้นำเสนอไปนั้นจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณและถ้าคุณสนใจเกี่ยวกับการทำ seo และก็ตอนนี้เราได้สร้างช่องวีดีโอบน YouTube เพื่อที่จะทำการแชร์คลิปและเทคนิคต่างๆเกี่ยวกับการทำ seo ให้คุณได้เข้าไปศึกษากันโดยคุณสามารถที่จะเข้าไป subscribe ได้ที่ลิงก์นี้และอย่าลืมกดไลค์และกดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเราด้วย</p><p><br /></p><p><br /></p>Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-40034760306639848802020-03-05T18:57:00.001-08:002020-03-05T18:57:21.128-08:00Google ประกาศจะเปลี่ยนไปใช้ mobile-first indexing ทั้งหมดGoogle ประกาศจะเปลี่ยนไปใช้ ดัชนีการค้นหาแบบ mobile-first indexing ทั้งหมด ภายในเดือนกันยายน 2020 นั่นก็คือปีนี้ นั่นเอง โดยหลังจากที่ได้ผลักดันมาตั้งแต่ปี 2016 โดยกูเกิลพบว่าเว็บไซต์กว่า 70 เปอร์เซ็นต์นั้นพร้อมแล้วสำหรับการใช้งานที่รองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างสมาร์ตโฟน และแท็บเลต โดยสำหรับคนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์นั้นแนะนำให้เปลี่ยนเว็บไซต์ให้รองรับการใช้งานผ่านมือถือสมาร์ตโฟนได้แล้ว โยในช่วงแรกนี้จะเริ่มใช้งาน mobile-first indexing เป็นหลัก และลดความสำคัญของการเก็บข้อมูลของ desktop Googlebot ลงไป <br />
<br />
สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าเว็บไซต์ของตัวเองนั้นรองรับการใช้งานบนสมาร์ตโฟนหรือยัง แนะนำให้ทำการตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณได้ที่ นี่ https://search.google.com/test/mobile-friendly โดยให้ใส่ชื่อเว็บของคุณ เช่น https://www.yourweb.com/ แล้วให้กดที่ Test URL แล้วรอให้ระบบประมวลผลสักครู่ หลังจากนั้นก็จะแสดงผลการทดสอง หาเว็บไซต์ของคุณรองรับการใช้งานบนสมาร์ตโฟน ระบบก็จะทำการแจ้งว่า “Page is mobile friendly”<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="715" data-original-width="1600" height="284" src="https://1.bp.blogspot.com/-kjg1QRkvdRQ/XmG78tljh6I/AAAAAAAAMhY/YdbuH--J-XQIba8YzGFFsdJd5dPppndfACLcBGAsYHQ/s640/Page%2Bis%2Bmobile%2Bfriendly.jpg" width="640" /></div>
<br />
แต่หากเว็บไซต์ของคุณไม่รองรับนั้นระบบก็จะแจ้งว่า “Page is not mobile friendly” ซึ่งวิธีแก้นั้นคือคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกแบบเทมเพลตใหม่ให้รองรับการใช้งานบนสมาร์ตโฟนและ แทบเลตก่อน<br />
ถ้าคุณต้องการที่จะเปลี่ยน และยังใช้เว็บไซต์ 1.0 หรือ 2.0 อยู่นั้น เราแนะนำว่าถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนมาใช้ระบบจัดการเว็บไซต์ อย่างเจ้าตัว เวิร์ดเพรส Wordpress.org ที่เป็นระบบการจัดการเนื้อหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน โดบเว็บไซต์กว่า 50 เปอร์เซ็นต์บนโลกนี้ได้เปลี่ยนมากใช้งานเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเวิร์ดเพรสกันทั้งนั้น โดยข้อดีหลักๆของระบบเวิร์ดเพรสนั่นคือ ความง่าย และการรักษาตวามปลอดภัยที่ดี รวมถึงความสามารุในการที่จะปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้รองรับ SEO หรือ Search Engine Optimization ได้ดีกว่าแบบอื่นนั่นเอง<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-12022504897937624712020-01-21T16:25:00.000-08:002020-01-21T16:25:35.234-08:00Google search console ปัญหา data-vocabulary.org schema deprecatedGoogle search console ได้แจ้งเตือนปัญหาเกี่ยวกับ data-vocabulary.org schema deprecated ที่ได้ถูกยกเลิกการใช้งานบน กูเกิลเซิร์ชคอนโซล หรือ GSC ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ เกิดการแจ้งเตือนดังกล่าว ซึ่งแน่นอนเจ้าของเว็บไซต์ทั่วโลกนั้นสาวนมากจะได้รับการแจ้งเตือนดังกล่าวโดยเฉพาะผู้ที่ใช้ สกีม่า เบรดครัมป์ Breadcrumb สำหรับการแก้ไขนั้นให้ใส่ “schema.org” แทนที่ data-vocabulary.org แล้ให้ทำการ Validation ที่ Google search console.<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="812" data-original-width="1386" height="374" src="https://1.bp.blogspot.com/-fmdaWWWQgAU/XieWMJ9K8jI/AAAAAAAAL8Y/tPmvc2g3m9cMzd7CDkD7U8F70agGO72JQCLcBGAsYHQ/s640/breadcrumbs-drilldown.jpg" width="640" /></div>
<br />
สำหรับคนที่ใช้ปลั๊กอินหรือระบบ CMS อื่นๆนั้นให้รอทางผู้ผลิตทำการอัปเดทแพตช์ออกมาแก้ไข อย่างไรก็ตามให้รีบทำการแก้ไขโดยเร็วเพราะว่า อาจส่งผงกระทบต่ออันดับ และการแสดงผลได้นั่นเอง <br />
alerts users of Easy Breadcrumb that data-vocabulary.org schema is deprecated on websites. Data-vocabulary.org schema deprecated causing warning on GSC.<br />
Today, I received an email from the search console about the breadcrumbs issue. I think most of the webmasters should have received this email as well. If your site has breadcrumbs enabled with data-vocabulary.org, it’s time to replace it with schema.org.<br />
It seems that the SEO plugin or the theme that has data-vocabulary.org needs an update for replacement.<br />
<br />
<br />
<div>
<br /></div>
Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-32819355802083137122020-01-07T19:57:00.001-08:002020-01-07T19:57:47.246-08:00Google จะลดบทบาท Push Notification ลง ข่าวล่าสุดสำหรับคนที่เว็บไซต์ที่กำลังใช้ระบบ แจ้งเตือนเมื่อมีการอัปเดทเว็บไซต์ หรือ Push Notification บน Google Chrome ในเวอร์ชั่นต่อไปฟีเจอร์ดังกล่าวจะถูกลดบาทลงอย่างมากเนื่องจากสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้งาน สร้าง Bad User Experience ซึ่งในมุมมองของผมก็คิดว่ามันไม่น่าที่จะมีตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าน่ารำคาญ ถ้าเผลอไปกดเข้าซักเว็บที่เป็นสแปมนี้ เด้งรัวๆเลยทีเดียว และแน่นอนในมุมมองของคนทำเว็บเองยังรู้สึกรำคาญและผมก็ไม่ได้ใส่ฟีเจอร์ดังกล่าวในเว็บไซต์เลยเด็ดขาด เพราะคิดว่าน่ารำคาญ ไม่จำเป็นและพาลทำให้คนเพลียดเว็บไซต์เรามากยิ่งขึ้น และพากันหาวิธีที่จะบล็อกการแจ้งเตือนดังกล่าวออกไป จริง ๆแล้วดังนั้นใครที่ใช้ฟีเจอร์นี้อยู่ก็เริ่มทำใจได้แล้วว่า มันไม่ได้ผลและสร้างความรำคาญให้ผู้ใช้งาน แนะนำให้ถอดออกทันทีเลยก่อนที่เว็บไซต์ของคุณจะไม่มีคนเข้านั่นเอง<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-UB-6XGyadI8/XhVTLrh4F2I/AAAAAAAAL0I/Tmdi2zSlDKkWLd460JZG6A7R1UAIy_JZQCLcBGAsYHQ/s1600/push-notifications-desktop-mobile.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="387" data-original-width="1026" src="https://1.bp.blogspot.com/-UB-6XGyadI8/XhVTLrh4F2I/AAAAAAAAL0I/Tmdi2zSlDKkWLd460JZG6A7R1UAIy_JZQCLcBGAsYHQ/s1600/push-notifications-desktop-mobile.png" /></a></div>
<br />
User Experience นี้สำคัญมากนะถ้าคุณเพิกเฉยที่จะแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวละก็เว็บไซต์คุณคงไม่ไปไหน การทำเนื้อหาต่างๆก็มักจะไม่ได้ผลเพราะว่าผู้ใช้ได้เกลียดเว็บของคุณเข้าไปในแบลคลิสต์แล้ว ถึงคุณจะถูกแสดงผลการค้นหาในอันดับแรกๆก็ตาม ยูเซอร์จะไม่คลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ของคุณอยู่ดีนั่นทำให้เว็บไซต์ของคุณอาจอันดับร่วงได้<br />
<br />
การทำอะไรก็ตามภายในเว็บไซต์หากมันเป็นกิจกรรมที่ไม่เป็นธรรมชาติ หรือทำให้ผู้ใช้รำคาญ หรือไม่สะดวกนั้นอย่าทำตั้งแต่แรกจะดีที่สุด ไม่ใช่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ผู้อื่นบอกว่าดี หรือสุดยอดขนาดไหน แต่ถ้าโดยภาพรวมแล้วมันดูฝืนดูน่ารำคาญสุดท้ายมันก็จะอยู่ได้ไม่นานนั่นเอง<br />
<br />
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับระบบ Notifications on the web เดิมทาง <a href="https://blog.chromium.org/2020/01/introducing-quieter-permission-ui-for.html">blog.chromium.org</a> ได้ออกมาบอกว่าการแจ้งเตือนดังกล่าวนั้นจะถูกลดบทบาทลงให้เป็นการแจ้งเตือนแบบเงียบไม่ซ้อนทับเหมือนในปัจจุบัน เพราะว่าผู้ใช้งานได้รีพอร์ตเกี่ยวกับความน่ารำคาญของระบบแจ้งเตือนดังกล่าวหลายรายนั่นเอง โดยอาจจะแจ้งในแท็บว่ามีการแจ้งเตือนใหม่แล้วให้ผู้ใช้เปิดเข้าไปดูเองแต่ว่าไม่มีการขึ้น โอเวอร์เลย์ ซ้อนทับหน้าบราวซ์เหมือนเดิมและแน่นอนจะทำให้การเข้าถึงลดลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์แน่นอน และการใช้งานฟีเจอร์นี้จะถูกใส่เข้าไปใน Chrome 80 ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานในปี 2020 นี้ดังนั้นยังพอมีเวลาให้ปรับตัวอีกสักระยะสำหรับผู้ที่ใช้งานดังกล่าว<br />
สำหรับคนทำเว็บที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแจ้งเตือนดังกล่าวว่าควรปรับแต่งเว็บไซต์แบบใดสามารถดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์นี้ <a href="https://developers.google.com/web/fundamentals/push-notifications/permission-ux">https://developers.google.com/web/fundamentals/push-notifications/permission-ux</a><br />
<div>
<br /></div>
Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-52305453259241093792019-12-24T23:15:00.000-08:002019-12-24T23:15:31.653-08:00SEO 2020 มีอะไรน่าจับตาบ้าง สำหรับการทำ SEO ในปี 2020 นี้มีความแตกต่างจากปีที่แล้วไม่มากแต่ก็มีหลายอย่างที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปี 2020 นี้ ไม่ว่าจะเป็น Voice Search ที่จะมีอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ Rich Snippets ที่ยังคงมาแรงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว และการใช้งาน AI และการสร้างคอนเทนต์ที่เป็น Text Base ที่จะต้องปรับตัวกันอีกนิดหน่อยสำหรับปีหน้านี้ ในส่วนของคอนเทนต์วีดีโอ ยังคงมาแรงต่อเนื่อง และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีก ส่วนของการปรับแต่งเว็บไซต์นั้นเราก็จะเห็นได้ว่ากูเกิลให้ความสำคัญกับ Page Speed อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการออกเครื่องมือที่ใช้รายงานความเร็วของหน้าเว็บของคุณในส่วนของ Google Search Console ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนพอสมควรสำหรับคนที่ยังยึดติดกับสไลเดอร์เปิดตัวสวยๆอยู่ โดยบทความนี้จะขอเรียงความน่าสนใจของแต่ละเทรนด์ตามความร้อนแรงของแนวโน้มที่จะมาในปีหน้านี้ โดยจะขอเริ่มต้นจาก<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="720" data-original-width="1280" height="360" src="https://1.bp.blogspot.com/-j8Iq_W7OWpo/XgMMgg4xMvI/AAAAAAAALvk/Rx4mOxv-cqMPxCUXYsSMfIMJAEs8OOXEgCLcBGAsYHQ/s640/seo%2B2020.jpg" width="640" /></div>
<br />
Voice Search ซึ่งมาแน่นอนแล้วจากปีหน้าเป็นต้นไป ไม่เฉาะการค้นหาในหน้าเว็บที่เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ในส่วนของการค้นหาด้วยเสียงในภาษาไทยก็สามารถทำได้ดีแล้วพอสมควร ดังนั้นจึงมองข้ามไม่ได้ที่เราจำเป็นที่จะต้องปรับทั้งเว็บไซต์ และเนื้อหาให้รองรับการใช้งานด้วย การค้นหาด้วยเสียงที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างเว็บไซต์ ที่รองรับการแสดงผลสำหรับมือถือ เพราะว่าการค้นหาด้วยเสียงจะมาจากมือถือเป็นหลัก การทำ Local SEO เพื่อที่จะช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นถูกแสดงผลบนผลการค้นหา การทำ GMB ที่จะช่วยให้ร้านค้าที่เป็นลูกค้าของคุณสามารถถูกแสดงผลบนหน้า SERPs ได้สำหรับธุรกิจท้องถิ่นแบบออฟไลน์ก็ต้องหาวิธีแล้วว่าทำอย่างไรร้านฉันถึงจะขึ้นในผลการค้นหากูเกิล และแน่นอนปรึกษาเราได้ ในราคากันเอง ร้านข้าวมันไก่ ขายก๋วยเตี๋ยว และอื่นๆต้องเริ่มคิดถึงจุดนี้ได้แล้ว<br />
<br />
ในส่วนของเนื้อหา และโครงสร้างเว็บไซต์ เว็บไซต์นั้นต้องรองรับ https:// แล้วนะมองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว ความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์นั้นสำคัญมาก และเนื้อหาต้องทำเนื้อหาที่ให้รองรับททั้ง Rich Snippets และ Voice Search โดนการสร้างเนื้อหาสำหรับการค้นหาด้วยเสียงนั้นแนะนำให้แบ่งหัวข้อออกมาจากบทความมาเป็นประโยคคำถาม แล้วฝังไว้ในบทความนั้น เช่น การทำ SEO 2020 มีอะไรบ้าง , Voice Search มีอะไรบ้าง แล้วเขียนบทสรุปตามหัวข้อด้วยประมาณ 50-100 คำเพื่อขยายความหัวข้อดังกล่าว ซึ่งก็อาจจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถถูกแสดงผลจากการค้นหาด้วยเสียงได้ สำหรับเนื้อหาแบบบทความแล้ว บทความที่ยาวกว่ายังได้เปรียบอยู่โดยเป็นบทความที่ ครอบคลุม และ เรียบเรียงมาอย่างดี จะสามารถกระจายคีย์เวิร์ดแบบ คำค้นยาวๆได้ดีกว่าบทความที่สั้น และยังทำอันดับได้ดีกว่าอยู่<br />
สำหรับระบบ AI และ โรบอทนั้น ก็จะใช้ในงานเบื้องหลัง หรือหลังบ้านมากกว่าการใช้งานหน้าบ้าน ซึ่งหัวข้อนี้ค่อนข้างยาวขอยกไปไว้ในบทความถัดไปแล้วกันจบ<br />
<div>
<br /></div>
Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-43669288876770662962019-10-03T06:16:00.001-07:002019-10-03T06:18:02.460-07:00👉 SERPS แสดงผลอีโมจิ 😜 ได้ เทคนิคเพิ่ม CTR SERPS แสดงผลอีโมจิได้ <span style="background-color: white; color: #333333; font-family: "segoe ui emoji"; font-size: 49px;">😜 </span>ดูแปลกใหม่ และเราสามารถนำพวกมันมาเพิ่ม CTR ของเราให้อันดับเว็บไซต์ของเราน่าสนใจอย่างไร การแสดงอีโมจิที่ทางกูเกิลจะนำไปแสดงผลในหน้าเว็บไซต์ของเรานั้นสามารถใช้เป็นเครื่องหมายนำสายตาเพื่อให้ดูน่าคลิกขึ้นได้แน่นอน และสามารถเพิ่มค่า <span style="background-color: white; color: #333333; font-family: "segoe ui emoji"; font-size: 49px;">👉 </span>CTR หรือ Click Through Rate ให้กับเว็บเพจของเราได้ กรณีที่เราอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าคู่แข่งเมื่อผู้ใช้งานเห็น <span style="background-color: white; color: #333333; font-family: "segoe ui emoji"; font-size: 49px;">👀</span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="328" data-original-width="581" height="360" src="https://1.bp.blogspot.com/-nyQe6flnBUk/XZX0_lok3GI/AAAAAAAAKfk/XZEpPCymAH05jz96VxZCEg02-JyLko8ZwCLcBGAsYHQ/s640/emoji-SERP.png" width="640" /></div>
<br />
เครื่องหมายนำสายตาอย่างเช่นลูกศร เครื่องหมายถูก หรือว่า เครื่องหมาย หรืออีโมจที่เป็นเครื่องหมายที่ใช้ในการเชิญชวนให้ผู้ใช้งานคลิก นั้นเป็นหนึ่งในการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้รองรับ SEO นั่นเองเมื่อหน้าเว็บเรานั้นมีค่า CTR ที่สูงขึ้นการจัดอันดับ Rank Brain ก็จะดันอันดับเว็บของเราให้สูงขึ้นไปอีก และทราฟฟิคมายังเว็บไซต์ของเราก็จะเพิ่มขึ้นแน่นอน เมื่อทราฟฟิคเพิ่มมากขึ้น ยอดขายหรือบริการของสินค้าในเว็บไซต์ของเราแน่นอนก็ต้องสูงมากขึ้นด้วยเช่นกัน<br />
<br />
แล้วการใช้อีโมจิในหน้าเว็บไซต์เพื่อให้แสดงผลในหน้า SERPS นั้นทำอย่างไร เดี๋ยวไปเก็บข้อมูลก่อน แต่เทคนิคนี้มีการใช้งานเมื่อ 7-8 ปีที่แล้วที่ถือว่าได้ผลพอสมควร โดยตอนนั้นจำได้ว่าในช่วง Black Friday นั้นได้มีการใช้เครื่องหมายพื้นฐานในผลการค้นหาที่ใช้เป็นจุดนำสายตาให้คนค้นหานั้นเห็นเว็บไซต์จองเราเป็นอันดับแรก หรือคลิกเข้าไปดูก่อน โดยมีการใช้เครื่องหมายเช่น >>>> หรือ <<<< และอื่น ๆอีกมากมายแล้วแต่จะหามาบ้างก็ใช้เครื่องหมายถูก ☑ ☒ ☓ ✓ ✓ ✕ ✖ ✗ ✘ ในไตเติ้ลบทความกันเลยทีเดียว เพื่อเรียกความสนใจจากผู้เข้าชม<br />
<br />
แต่หลังจากนั้นไม่นานผลการค้นหาแบบนี้ก็เริ่มที่จะไม่มีให้เห็น อาจจะเป็นเพราะส่วนมากโดนทำโทษจากกูเกิล ด้วยการใช้เครื่องหมายดังกล่าว หรือคนอาจจะไม่สนใจแล้วก็ได้ เพราะอาจจะมองว่าเป็นเว็บสแปม ไม่มีเนื้อหาจริง ๆที่น่าสนใจเป็นเพียงหน้า Landing Page เพื่อที่จะไปยังหน้าขายของก็เป็นได้<br />
อย่างไรก็ตามเดี๋ยวจะลองใช้เทคนิคแบบนี้ดูสักเว็บไซต์ว่าจะสามารถเพิ่ม CTR ได้จริงหรือไม่หรือ จะโดนกูเกิลแบนหรือลดอันดับลงไหม อย่างไรแต่ต้องขอเวลาในการทดสอบสักพัก ผลการทดลองเป็นอย่างไรเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดกันเลย<br />
<br />
ก็เกิลเองก็ยังไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรออกมาแอคชั่นในเรื่องนี้จริง ๆ ดังนั้นไม่มีข้อห้าม แสดงว่าทำได้เดี๋ยวทางเว็บเราจะลองพลีชีพกันดูว่าจะเวิร์คเหมือน 7-8 ปีที่แล้วหรือไม่<br />
สำหรับการทดลองดังกล่าว เราจะทำการใส่อีโมจิ https://getemoji.com/ ที่จะใช้จากเว็บนี้ แล้วใส่ลงไปในไตเติ้ลเลยเพื่อที่จะแต่งให้มันดูน่าสนใจ และดึงดูด จะลองบ้างก็ไม่ว่านะครับ ผลออกมาเป็นอย่างไรจะได้มาแชร์กัน<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-1380810038348214852019-09-01T19:34:00.001-07:002019-09-01T19:34:53.432-07:00Google Search Console ได้เพิ่มแท็บ Position ตำแหน่งของ SERPs ในแต่ละคีย์เวิร์ดการเพิ่มค่าบอก Position ตำแหน่งของ SERPs ในแต่ละคีย์เวิร์ด นั้นไม่รู้ว่าเขายัดฟีเจอร์นี้เข้ามาตอนไหนแหละ แต่วันนี้เพิ่งได้สังเกตูว่ามีแท็บสีม่วงๆ โผล่ออกมาในหน้าเจ้าตัว Google Search Console ที่เฮ้ยแบบว่าดีย์ มาก ๆ เราไม่จำเป็นต้องไปใช้โปรแกรมอื่นหรือเช็คเองเป็นรายคีย์ เจ้าตัวนี้รายงานผลมาให้อัตโนมัติเลยทีเดียว โดยมันจะบอกตำแหน่งของเว็บเราว่าอยู่ในอันนดับที่เท่าไหร่ในผลการค้าหาคำนั้น ๆ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-5E8BwLfdEhI/XWx_WZO4e1I/AAAAAAAAJ7w/ukD1R6HKyzcg-ZFHaSPQiErZRQ0i42B2QCLcBGAs/s1600/seo%2Bkhoonkaen.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="657" data-original-width="1142" height="368" src="https://1.bp.blogspot.com/-5E8BwLfdEhI/XWx_WZO4e1I/AAAAAAAAJ7w/ukD1R6HKyzcg-ZFHaSPQiErZRQ0i42B2QCLcBGAs/s640/seo%2Bkhoonkaen.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
จะเห็นตัวเลขสีม่วงที่แสนสวยนั่นไหม นั่นแหละคือตำแหน่งจริง ๆ โดยเฉลี่ยของเว็บไซต์ของเราในคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ที่เขาใช้คำว่า Average Position นั้นก็เพราะว่าเจ้า Rank Brain ที่มันมักจะขยับปรับตำแหน่งให้เรา โยจะให้ตำแหน่งที่สูงบ้าง ต่ำบ้างก็เลยทำให้ค่านี้เป็นค่าเฉลี่ย ถ้าไม่เชื่อก็ลองค้านหาด้วยคำค้นคำเดิมดู แล้วกดค้าหน สองรอบจะเห็นได้ว่าตำแหน่งในแต่ละเว็บไซต์นั้นจะไม่ได้อยู่ที่เดิม จะมีการสลับตำแหน่งขึ้นๆ ลง เป็นปกติในการค้นหาแต่ละครั้งนั่นเองทำให้เราไม่สามารถได้รู้ถึงตำแหน่งที่แน่นอนได้ เพราะว่ามันมีการปรับไปมาตลอด แต่ตำแหน่งจริง ๆก็จะตีไปคร่าวๆว่าจะ บวก หรือ ลบ ประมาณ 5 ตำแหน่งซึ่งอันนี้คนที่จะ<a href="https://www.seokhonkaen.com/">จ้างทำ SEO</a> จะต้องเข้าใจว่าทำไมตำแหน่งมันไม่นิ่ง<br />
เพราะว่าเจ้าตัว Rank Brain ซึ่งเป็นระบบ AI นี่ที่คอยจัดลำดับที่มีความ Relevant มากกับความต้องการขแงผู้ค้นหามากที่สุดนั่นเอง<br />
<br />
และแน่นอนว่าพักหลังๆนี้เราจะเห็นการแสดงความสามารถที่เพิ่มขึ้นของเจ้า Google Search Console ที่กูเกิลพยายามาผลักดันให้พวกมันเป็นระบบที่ใช้ในการจัดการเว็บที่ใช้ได้จริง ทำให้ผู้ใช้งานที่ทำเว็บไซต์ต้องเข้ามาใช้งานทุกวัน ซึ่งไม่แน่อาจจะไม่จำเป็นต้องไปใช้งาน Google Analytic เลยก็ได้ เพราะผมเองก็ไม่ได้ใช้ GA สักเท่าไหรส่วนตัวนะคิดว่าเสียเวลา เอาเวลาไปเขียนคอนเท้น ยังจะดีกว่า<br />
<br />
แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่มีประโยชน์แหละแต่ว่าเราทำงานคนเดียวไง และข้อมูลที่ต้องการรู้ก็อยู่ใน Google Search Console หมดแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ GA ซึ่งข้อมูลของ GA นั้นคิดว่าน่าจะเหมาะกับคนที่ทำ PPC หรือ Pay Per Click มากกว่า เพราะจะได้ใช้เวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการทำ PPC นี่คือไม่ต้องทำคอนเท้นเยอะไง เล่นยิงโฆษณาอย่างเดียว เรียกได้ว่าเป็นสายเปย์นั่นแหละไม่ว่ากัน ทางใครทางมัน ทุนหนาสายป่านยาวก็ไป PPC ทุนน้อยสายป่านสั้นก็มาสาย SEO ส่วนคนฉลาดมีวิสัยทัศน์ก็ทำมันทั้งคู่<br />
<br />
อย่าลืมกดติดตามเว็บไซต์ของเราเรามีบทความแนวนี้มาให้อ่านกันเป็นประจำ สำหรับโพสนี้ อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กดซับตะไคร้ให้พ่อด้วย<br />
<div>
<br /></div>
Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-50546340414098606972019-08-01T04:54:00.000-07:002019-08-30T09:41:49.784-07:00Zombie Pages คืออะไรซอมบี้เพจคือหน้าเว็บไซต์ที่เป็นหน้าคล้ายซอมบี้ที่อยู่ในเว็บไซต์ของเราคือเป็นหน้าเว็บที่ตายแล้วแต่ยังมีอยู่ในเว็บไซต์โดยเป็นหน้าเว็บที่มีข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งอาจจะเกิดจากข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลเก่าหมดอายุ ข้อมูลน้อยเนื้อหาเบาบาง เพียง 300-500 คำ ซึ่งเรามักสร้างขึ้นในช่วงต้นของการสร้างเว็บไซต์เพื่อหวังจะทำอันดับ แต่มันไม่ทำ ซึ่งเจ้าหน้า <a href="https://www.seokhonkaen.com/">Zombie Page</a> พวกนี้ถ้ามีมากๆจะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ของคุณโดยรวม ซึ่งอาจจะทำให้อันดับเว็บไซต์ของคุณนั้นต่ำกว่าที่มันควรจะเป็น เพราะว่ามีเจ้าพวก Zombie Page อยู่มากมาย หน้าที่ระบบจัดการเนื้อหาที่ได้สร้างมาอัตโนมัติ ซึ่งไม่มีคุณค่าอะไร หรือเนื้อหาอะไรมากนัก ซึ่งนั่นแหละที่เป็นต้นตอของปัญหา<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-euOrg-8KfWw/XULSnh-8umI/AAAAAAAAJLw/VXs6W_240UI8Ec4fyU-1gtU4amO44Fi2QCLcBGAs/s1600/Zombie%2BPage.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="Zombie Pages คืออะไร" border="0" data-original-height="720" data-original-width="1280" height="360" src="https://1.bp.blogspot.com/-euOrg-8KfWw/XULSnh-8umI/AAAAAAAAJLw/VXs6W_240UI8Ec4fyU-1gtU4amO44Fi2QCLcBGAs/s640/Zombie%2BPage.jpg" title="Zombie Pages คืออะไร" width="640" /></a></div>
<br />
<br />
Zombie Page จะทำให้เว็บไซต์ของคุณนั้นถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์คุณภาพต่ำที่เต็มไปด้วยเนื้อหาที่ไม่มีประโยชน์และการทำอันดับโดยรวมของเว็บไซต์ของคุณก็จะต่ำลง กูเกิลก็จะให้คะแนนเว็บไซต์ของคุณต่ำลง และอาจจะทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในสถานะที่แย่เกินกว่าที่มันควรจะเป็น<br />
แล้วหน้าแบบไหนละที่เข้าข่ายตกเป็น Zombie Page<br />
<br />
Zombie Page นั้นสามารถตรวจสอบได้ง่ายมาก เพียงเราต้องดูตัวเลขโดยรวมบนเว็บไซต์ของเราว่าหน้าไหนที่จะมีปัญหาโดยดูจากสถิติได้แก่<br />
<br />
•<span style="white-space: pre;"> </span>หน้าที่มีคนเข้าน้อยเพราะว่าทำอันดับได้น้อย<br />
•<span style="white-space: pre;"> </span>Bounce Rate สูง<br />
•<span style="white-space: pre;"> </span>การอยู่ในหน้านั้นน้อย ไม่นานก็ออกจากหน้านั้นไป<br />
ซึ่งหน้าที่เป็น Zombie Page นั้นจะมีประสิทธิภาพโดยรวมนั้นน้อยกว่าหน้าที่ไม่ได้เป็น Zombie Page จึงทำให้ค่าสถิติต่างๆน้อยกว่าใครเขา<br />
<br />
การจัดการกับหน้า ซอมบี้เพจนั้นก็มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณว่าจะจัดการอย่างไรดี โดยส่วนมากถ้าคุณไม่ได้จำเป็นที่จะต้องใช้งานหน้านั้นอีกแล้วก็ให้ทำการลบทิ้งไปได้เลย หรือว่าหากยังใช้งานอยู่ หรือต้องการใช้งานหน้านั้นคุณก็สามารถทำการปลุกชีพหน้า Zombie Page ด้วยการอัปเดทเนื้อหา ทำให้มันใหม่ ทันสมัยมากขึ้น ข้อมูลที่ถูกต้องมากกว่าเดิม หรือการอัปเดทเนื้อหาหน้านั้นให้มีประโยชน์กับผู้ใช้งานนั่นเอง การอัปเดทเนื้อหานั้นจะต้องมีการอัปเดทให้เป็นเนื้อหาที่สุดยอดที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ เจาะลึกและมีคุณภาพดีเทียบหน้าใหม่ๆที่คุณได้สร้างขึ้น<br />
<br />
สำหรับหน้าที่ไม่สามารถอัปเดทหรือลบได้ อย่างหน้า Tags และ หน้า Category ใช้แท็ก Nofollow เพื่อที่จะไม่ให้กูเกิลเก็บอินเด็กซ์หน้าพวกนั้นไป หรือทำการ รีไดเรคหน้าไปยังหน้าอื่นที่คุณต้องการก็ได้ แล้วให้ทำการลบหน้าดังกล่าวออกจาก sitemap เพื่อไม่ให้บอทที่เข้ามาเก็บข้อมูลสับสน<br />
หลังจากจัดการกับหน้าซอมบี้เพจดังกล่าว รอเวลาเพียงไม่นานเว็บของคุณก็จะเริ่มมีทราฟฟิคเพิ่มขึ้นตามปกติ และอันดับเว็บของคุณนั้นก็จะเริ่มมีการปรับขึ้นด้วย<br />
<br />
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะจัดการกับซอมบี้เพจดีแล้ว แต่นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆที่สำคัญพอกันอยู่ซึ่งมีผลอยู่ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าคุณจะจัดการกับ มันได้หมดแต่เนื้อหาเว็บไซต์ของคุณยังเบาบาง มีการอัปเดทที่ไม่ต่อเนื่องรวมทั้งเขียนได้ไม่ค่อยที่จะดีเท่าไรดูไม่น่าเชื่อถือ ก็อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาก็ได้<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-28765406077271572702019-07-25T21:21:00.000-07:002019-08-30T18:26:07.384-07:00ค่ารักษาอันดับคืออะไร จำเป็นไหม ?<h2>
ค่ารักษาอันดับคืออะไร จำเป็นไหม ?</h2>
หลังจากที่จ้างทำ SEO แล้วจนเว็บไซต์ของคุณนั้นไต่อันดับมาถึงหน้าแรกในคีย์เวิร์ดตามที่คุณได้ทำการตกลงกับผู้รับจ้างทำ SEO ไม่ว่าจะเป็นจากบริษัทรับทำ SEO เองหรือกับทาง Freelance ที่ให้บริการกับคุณแล้วทำไมต้องมีการจ่ายค่ารักษาอันดับ สำหรับเว็บไซต์ที่ทำอันดับขึ้นไปแล้วด้วย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-VVCuaXOHeY0/XTp_kqH4sbI/AAAAAAAAJH8/ejqX28LK8jw3M-JmD5-cvB0USJe8z3I1ACLcBGAs/s1600/%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%2599%2BSEO.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="751" data-original-width="1429" height="336" src="https://1.bp.blogspot.com/-VVCuaXOHeY0/XTp_kqH4sbI/AAAAAAAAJH8/ejqX28LK8jw3M-JmD5-cvB0USJe8z3I1ACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A9%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%2599%2BSEO.png" width="640" /></a></div>
<br />
ค่ารักษาอันดับจะเป็นค่าจ้างสำหรับบริษัทรับทำ SEO ที่จะทำการรักษาอันดับของคุณให้คงอยู่ในหน้าแรกนั้นตลอดตราบใดที่คุณยังจ่ายให้พวกเขานั่นหมายถึงว่าวิธีในการทำ SEO ของพวกเขานั้นมีปัญหาเพราะว่าการทำ SEO ที่ดีนั้นเมื่อเว็บไซต์นั้นขึ้นไปสู่หน้าแรกแล้วระยะหนึ่งจะอยู่ในอันดับนั้นไปอย่างน้อย 1 เดือนในกรณีที่คู่แข่งน้อยและการแข่งขันในคีย์เวิร์ดคำนั้นๆค่อนข้างเบาบางนั้น เว็บไซต์ของคุณจะอยู่ในหน้าแรกนานเท่าที่หน้านั้นไม่มี เว็บไซต์ของคู่แข่งที่มีเนื้อหาที่ดีกว่าของคุณเข้ามาแข่งขัน แต่ถ้ามีคู่แข่งเริ่มเยอะขึ้นคู่แข่งก็จ้างทำ SEO เช่นกันนั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้อันดับของคุณถูกปรับลดลง<br />
<br />
เนื่องจากว่าโดนเว็บไซต์ของคู่แข่งเบียดลงมา เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้น้อยหากว่าคุณทำ SEO อย่างถูกวิธีตั้งแต่แรกถ้าคุณทำคอนเท้นต์ให้น่าสนใจคอนเท้นต์ที่มีประโยชน์กับผู้ใช้จริงๆหลังจากที่อันดับคุณขึ้นมีทางเดียวที่มันจะลงก็คือ คู่แข่งของคุณมีคอนเท้นต์ที่ดีกว่าของคุณ มีประโยชน์กว่าของคุณนั่นเอง การที่คู่แข่งนั้นแซงอันดับคุณขึ้นไปโดยที่คอนเทนต์ของพวกเขา ไม่ได้มีประโยชน์จริงๆต่อผู้เข้าชมสุดท้ายอันดับของเว็บเหล่านั้นก็จะร่วงลงมาอยู่ในตำแหน่งที่มันควรอยู่เองไม่ต้องกังวล แค่ต้องรอเพียงแค่เวลาเท่านั้น<br />
<br />
การทำ SEO ของผู้รับทำ SEO ที่ไม่ถูกต้องนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาจะต้องให้คุณจ่ายเงินค่ารักษาอันดับให้พวกเขา เพื่อที่จะนำเงินเหล่านั้นไปเป็นค่าจ้างให้กับพนักงานในการหาลิงค์เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้อันดับเว็บไซต์ของคุณ คงที่อยู่ตราบเท่าที่ยังจ่ายค่าคุ้มครองให้พวกเขาอยู่ ดังที่ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับการทำลิงค์เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณเพื่อดันอันดับนั้นเป็นวิธีทำ SEO แบบสายเทาค่อนข้างดำเลยทีเดียวเพราะพวกเขาพยายามทีจะโกงอันดับของเว็บไซต์ให้เกินจริง ให้กูเกิลเห็นว่าเว็บไซต์นั้นมีคุณค่าโดยการหาลิงค์เข้าไปมากๆ ซึ่งสุดท้ายกูเกิลสามารถตรวจจับรูปแบบการทำลิงค์ดังกล่าวได้ อาจจะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ของคุณในระยะยาวได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนจริงของเทคนิคการทำ SEO ของพวกเขา ถ้าคุณได้ทำ SEO ถูกต้องถึงแม้ว่าจะมีการปรับอันดับสักกี่ครั้งเว็บไซต์ของคุณก็จะได้รับผลกระทบน้อยมาก<br />
<br />
<h3>
แล้วจำเป็นต้องจ่ายค่ารักษาอันดับไหม ? </h3>
แน่นอนคุณต้องจ่าย เพื่อที่จะให้อันดับเว็บไซต์ของคุณสามารถอยู่ได้แบบไม่มั่นคง หรือคุณไม่ต้องจ่ายแต่ให้เปลี่ยนผู้ให้บริการไปซะ โดยเลือกผู้ให้บริการที่ดีที่ให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับคุณนั้นจะช่วยให้คุณลดต้นทุนในส่วนนี้ลงได้อีกและเว็บไซต์ของคุณก็จะอยู่ในอันดับที่มั่นคงกว่าเดิมมากโดยที่ไม่ต้องมีการจ่ายค่ารักษาอันดับรายเดือนนั่น<br />
<br />
<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-35655614517887820262019-07-22T08:06:00.002-07:002019-08-30T18:25:48.834-07:00การสแปมวางลิงค์ที่ เว็บไซต์วิกิพีเดียของผู้ให้บริการ รับทำ SEOการสแปมวางลิงค์ที่ เว็บไซต์วิกิพีเดีย นั้นเป็นการทำ SEO ที่แย่มากสำหรับบริษัทที่ รับทำ SEO ในไทย โดยการวาง Anchor text link แบบโต้งๆเพื่อหวัง แบ็คลิงค์จากเว็บไซต์ Wikipedia.org ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการวางลิงค์ลงในหน้าต่างๆของเว็บไซต์วิกิพีเดียนั้น เป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง หรือ เรียกว่ามี Authority สูงมากนั่นเอง ดังนั้นการมีลิงค์ออกจากหน้าเว็บ วิกิพีเดียนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นลิงค์แบบ Nofollow link ก็ตาม ซึ่งวันนี้หลังจากที่เปิดเว็บหาข้อมูลก็มาสะดุดกับหน้า เว็บไซต์<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-8fGGFOAuSok/XTXPvOfAplI/AAAAAAAAJDE/o1bsWIPhd5krNvSEUhAfkWLQITbmH9ahQCLcBGAs/s1600/se0.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="795" data-original-width="1600" height="318" src="https://1.bp.blogspot.com/-8fGGFOAuSok/XTXPvOfAplI/AAAAAAAAJDE/o1bsWIPhd5krNvSEUhAfkWLQITbmH9ahQCLcBGAs/s640/se0.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<a href="https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD" rel="nofollow">https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD </a><br />
<br />
โอ้วเย๊ นี่พวกพี่เล่นพากันฝากลิงค์กันโต้งๆ อย่างนี้เลยหรา ไปจ้างใครหาแบ็คลิงค์ให้ละพ่อหนุ่ม การทำ SEO ของพวกท่านนี่เข้าข่ายสายดำสนิทเลยนะ ใครบอกใครสอนให้ สแปมเว็บไซต์วิกิพีเดียกันอย่างนี้ พ่อหนุ่ม ผมละรู้สึกสงสารลูกค้าที่ใช้บริการทำ SEO กับคุณเสียจริงๆ ที่หลงเชื่อไปใช้บริการโดยที่ไม่รู้ชะตากรรมเลยว่ากำลังเอาเว็บไซต์อันมีค่าของคุณไปใส่ในมือโจร<br />
ผมถึงเน้นนักเน้นหน้าว่าจะจ้าง บริษัททำ SEO นั้นให้ดูดีๆถามเทคนิคในการทำว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกับเว็บไซต์ของคุณเพื่อที่จะทำให้อันดับเว็บไซต์ขึ้นไปเรื่อยๆ 1 –2- 3 ตามขั้นตอนซึ่งเราก็ต้องรู้ว่าบริษัทรับจ้างทำนั้นพูดอะไรบ้าง อย่างน้อยเราต้องมีพื้นฐานนั่นแหละไม่ต้องรู้เยอะเอานิดหน่อยก็พอ ซึ่งหลังจากที่คุณได้คุยกันกับกระบวนการในการทำ SEO แล้วนั้นก็ให้ทำการพิจารณาเอาเองว่า SEO Tactics ที่ทางบริษัทที่ให้บริการนั้นเหมาะสมหรือไม่ ไม่ใช่ว่าทิ้งไว้แค่ความต้องการว่าต้องการขึ้นอันดับในคีย์เวิร์ด นั่นนี่แต่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเอาเว็บไซต์ของคุณไปต้มยำทำแกงอย่างไร<br />
<br />
น่าอายมากนะครับกับบริษัทที่รับทำ SEO ด้วยการไปสแปมลิงค์เว็บ วิกิพีเดีย ถึงแม้ว่าคุณจะขึ้นหน้าแรกแต่มันไม่น่าภูิมใจเอาเสียเลย คุณสามารถหลอกลูกค้าได้ แต่คุณจะหลอก คนในวงการเดียวกันกับคุณไม่ได้เขาดูออก ว่างานของคุณเว็บไซต์และบริการของคุณมันปลอม มันกาก มันสแปมมากเกินที่จะรับได้Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-45441479015116622592019-07-16T19:47:00.001-07:002019-08-30T18:26:26.581-07:00ทำไมเราถึงไม่ควรทำแบ็คลิงค์การทำแบ็คลิงค์นั้นเรียกได้ว่าเป็นการทำ SEO สายเทาๆเลยก็ว่าได้ เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการหลอกกูเกิลว่าหน้าที่คุณยิงลิงค์เข้าไปใส่นั้นเป็นหน้าที่มีประโยชน์มากกว่าที่มีนควรจะเป็นทั้งๆที่จริงนั้น หน้านั้นอาจจะไม่เป็นประโยชน์จริงๆ หรือเป็นประโยชน์น้อยมาก การยิงลิงค์จาก PBN ก็เช่นกันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก ใครที่คิดจะจ้างบบริษัทใน<a href="https://www.seokhonkaen.com/">การทำ SEO</a> เพราะว่าสิ่งที่คุณทำนั้นกำลังฝืนธรรมชาติอยู่นั่นเอง คุณพยายามกำลังเอาเว็บไซต์ของคุณไปตกอยู่ในความเสี่ยง คิดหรอว่าคุณจะสามารถหลอกบริษัทระดับโลกอย่างกูเกิลได้ บริษัทที่ใช้เอไอในการจัดอันดับ และเริ่มตรวจจับการโกงอันดับของคุณ คุณจะแน่ในได้อย่างไรว่า Google ไม่รู้ถึงเทคนิคที่บริษัทรับทำ SEO ของคุณกำลังทำอยู่ คุณจะเห็นได้ในการอัปเดทในช่วงปี 2011 ที่เว็บไซต์ต่างๆได้รับผลกระทบจากการออก อัลกอริทึ่มใหม่ไหม ถ้าคุณยังจำได้ เหตุการณ์นั้นก็จะกลับมาอีกครั้งและจะกระทบเว็บไซต์ของคุณแบบนั้นเช่นกัน<br />
การใช้งาน PBN ในปัจจุบันนี้ก็ยังได้ผลอยู่ แต่จะได้ผลไม่นานถ้ากูเกิลนั้นสามารถตรวจจับรูปแบบการสร้างลิงค์ของคุณได้ และด้วยระบบ เอไอหากมันตรวจพบมันก็จะทำกาตะปบ เว็บไซต์ของคุณทันที ทีนี้แหละอันดับร่วงยาวจนกู่ไม่กลับอย่างแน่นอน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-Wu0TzhEJ0Gs/XS6MHQQy8UI/AAAAAAAAI90/q96OuDRsyc8of8A8rJccZfTSASdQvXItgCLcBGAs/s1600/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%2BSEO%2B%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25991.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1491" data-original-width="1600" height="596" src="https://1.bp.blogspot.com/-Wu0TzhEJ0Gs/XS6MHQQy8UI/AAAAAAAAI90/q96OuDRsyc8of8A8rJccZfTSASdQvXItgCLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%2BSEO%2B%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25991.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
PBN หรือ Private Blog Network นั้นเทคนิคนี้ฝรั่งเขาใช้และเลิกใช้ไปเมื่อหลายปีแล้ว เพราะว่ามันเริ่มถูกตรวจจับได้โดยก็เกิล การทำคือการสร้างเครือข่าย เว็บบล็อกของคุณเอง อัปเดท บล็อกเรื่อยๆเพื่อเป็น ฐานยิงลิงค์มายังเว็บเป้าหมาย โดยพยายามที่จะหลอกระบบการจัดอันดับของกูเกิลว่าลิงค์มาจากเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ สำหรับใครที่สนใจก็ลองใช้ดูเทคนิคนี้รับรอง อันดับเว็บไซต์ของคุณพุ่งแน่นอน แต่ไม่ส่งผลดีต่อเว็บไซต์ระยะยาวถ้ามีการปรับเปลี่ยนอีก เว็บไซต์ของคุณก็จะได้รับผลกระทบหนักด้วยเช่นกัน<br />
<br />
ถ้าจะทำ <a href="https://www.seokhonkaen.com/">SEO </a>แล้วทำไมไม่ทำให้มันดีตั้งแต่แรก ทำไมไม่ทำหรือสร้างเนื้อหาที่มันมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานเว็บไซต์ของคุณตั้งแต่แรก เพราะถึงแม้ว่าจะมีการอัปเดทสักกี่ครั้งเว็บไซต์ของคุณก็จะได้รับผลกระทบน้อยมาก ยกตัวอย่างการทำ SEO สายเทาโดยการทำลิงค์จากเว็บ PBN ก็เหมือนกับการจ้างคนตกแต่งบัญชีเพื่อเลี่ยงภาษีนั่นแหละ ถ้าสรรพากรจับได้ว่าคุณมีการแต่งบัญชีเพื่อเลี่ยงภาษีละก็งานเข้าแน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยแต่งบัญชีเพื่อเลี่ยงภาษี ไม่ว่าสรรพากรจะเข้ามาตรวจสอบกี่รอบๆ ก็ไม่มีทางเอาผิดคุณได้ เพราะคุณไม่มีอะไรผิด วงการทำ SEO ก็เช่นกันทำไมคุณไม่สร้างเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่มีประโยชน์ตั้งแต่ต้น โดยเนื้อหาสำหรับเว็บไซต์ที่ดีที่สุดคือบทความที่เป็นประโยชน์ ที่สามารถตอบคำถามให้กับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณให้จบจากที่เดียว โดยไม่ต้องไปหาที่อื่นอีก การเขียนบทความที่ครอบคลุมสุดยอด เป็นประโยชน์นั้นมีค่ากว่าการสร้างลิงค์มากๆ<br />
<br />
ถ้าคุณกำลังมองหาพนักงานทำ SEO มาประจำในบริษัทของคุณผมแนะนำว่าอย่าจ้าง ให้จ้างคนเขียนบทความจะคุ้มกว่านี่จริงๆ การมีบทความที่เกี่ยวข้องจำนวนมากในเว็บไซต์ของคุณ เป็นบทความที่ดีมากๆ สุดยอดมากๆ ตอบคำถามของผู้ใช้งานได้ตรงที่สุด ดีที่สุดนั้นมีความสำคัญมากกว่าการจ้างทำ SEO หลายเท่าเชื่อสิ<br />
<div>
<br /></div>
Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-69700060057335879792019-07-13T07:46:00.001-07:002019-08-30T18:26:38.334-07:00Dofollow และ Nofollow ลิงค์ต่างกันอย่างไร Dofollow และ Nofollow ลิงค์ต่างกันอย่างไร Nofollow คือลิงค์ที่ใช้แท็ก rel=”nofollow” อยู่ในโค้ด HTML ที่ใช้สร้างลิงค์ แต่ลิงค์แบบ Dofollow ไม่มี<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="640" data-original-width="640" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-pEYvJy61us0/XSnukIJKwOI/AAAAAAAAI5g/MibiBYEaHSYCru2yesPz0PAHgTrphvZ-gCLcBGAs/s640/nofollow%2Blink%2B%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A3.jpg" width="640" /></div>
<br />
<br />
ซึ่งความแตกต่างในความหมายของ <a href="https://seokhonkaen.com/">SEO </a>ก็คือการที่เว็บมาสเตอร์อย่างพวกเราต้องการบอก Search Engine ว่าไม่ต้องตามลิ้งค์นี้ไปนะ หรือห้ามตามลิงค์นี้ ซึ่งการใช้งานเรานิยมที่จะใช้ในการบอกเจ้าตัวบอทที่ไตไปตามเว็บไซต์ของเราให้รู้ว่าเราไม่ต้องการให้บอทดังกล่าวให้ความสำคัญกับลิงค์ออกที่มีแท็ก Nofollow ติดอยู่ซึ่งทำให้เว็บมาสเตอร์นั้นสามารถควบคุมการเข้ามาของกูเกิลบอทและบอกกับบอทพวกนั้นว่า ไม่ต้องตามไปเก็บข้อมูลที่ลิ้งค์นี้ ด้วยการใส่แท็ก<br />
<br />
<a href="login.php" rel="nofollow">sign in</a><br />
<br />
ซึ่งกูเกิลก็ออกมาบอกเองว่าพวกเขา(ระบบเก็บข้อมูลเว็บ)จะทำอย่างไรเมื่อพบลิงค์ที่มีแท็ก nofollow โดยกูเกิลก็บอกว่าพวกเขาก็จะไม่ตามไปเก็บข้อมูล ซึ่งการใช้งานลิงค์แบบ nofollow นั้นก็เพียงเพื่อที่จะบอกกับกูเกิลบอทเท่านั้นว่าไม่ให้ตามไปเก็บข้อมูลหน้านี้นะ แต่สำหรับยูเซอร์ หรือผู้ใช้งานนั้นไม่ได้รับผลกระทบใดๆ พวกเขายังสามารถคลิกตามเข้าไปดูลิงค์ได้ตามปกติ และ Search Engine แต่ละตัวก็มีการทำงานกับแท็กดังกล่าวที่แตกต่างกัน<br />
<br />
Google ยังได้แนะนำเกี่ยวกับการใช้ลิงค์แบบ Nofollow พร้อมตัวอย่างการใช้งานว่าเคสไหนสมควรใช้งานลิงค์แบบ nofollow นี้โดยลิงค์ที่สมควรใช้งานลิงค์แบบ rel=”nofollow” ได้แก่<br />
<br />
•<span style="white-space: pre;"> </span><b>การลิงค์ไปยังเนื้อหาที่ไม่น่าไว้วางใจ </b>เช่นการจัดการกับลิงค์ที่เกิดขึ้นโดยการใช้ช่องคอมเม้นต์ที่สามารถใส่ลิงค์ของผู้ที่มาคอมเม้นต์นั้นได้ ซึ่งเราไม่แน่ใจ หรือไม่ไว้ใจลิงค์ดังกล่าวว่าจะทำการลิงค์ไปยังเว็บที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ของเราหรือเปล่าเช่นมีลิงค์ไปยังเว็บหลอกลวง หรือ เว็บที่เป็น สแปม เป็นต้นซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของเราได้ ซึ่งการเปลี่ยนแผลงลิงค์ออกไปให้เป็นแบบ Nofollow นั้นจะช่วยลดความสนใจของเหล่า สแปมเมอร์ที่พยายามจะสร้างลิงค์จากการฝากลิงค์ตามคอมเม้นต์ดังกล่าวได้<br />
•<span style="white-space: pre;"> </span><b>ใช้ลิงค์แบบ Nofollow ในลิงค์ที่จ่ายเงิน</b>เพื่อเป็นการป้องกันการที่จะทำให้ Search Engine เข้าใจผิดเกี่ยวกับลิงค์ดังกล่าว โดยการทีเว็บไซต์สามารถอยู่อันดับดีๆได้ก็เพราะว่าบางส่วนนั้นเกิดจากการวิเคราะห์ลิงค์ที่ถูกส่งมายังหน้านั้นๆ ดังนั้นการส่งลิงค์ไปยังหน้าเว็บที่จ่ายเงินนั้นกูเกิลอาจจะมองว่าเข้าข่ายขายลิงค์ ซึ่งผิดกฏไกด์ไลน์ของกูเกิลได้ และอาจจะส่งผลกระทบกับอันดังของเว็บไซต์คุณแน่นอน มันคงไม่สนุกแน่กับการที่จะต้องทำเพื่อเงินไม่กี่บาท แต่กระทบกับเว็บไซต์ของคุณที่คุณดูแลมาอย่างดี<br />
•<span style="white-space: pre;"> </span><b>หน้าเว็บของคุณที่ไม่ต้องการให้บอทกูเกิลเก็บข้อมูล</b> เช่นหน้าที่เป็นหน้าสมัครสมาชิก หรือหน้าที่คุณไม่ต้องการให้ค้นเจอในก็เกิล เวลาที่คุณจะส่งลิงค์ไปยังหน้าดังกล่าวแนะนำให้ใช้แท็ก Nofollow ในลิงค์ด้วยจะเหมาะสมกว่า<br />
ข้อมูลด้านบนนั้นคือสิ่งที่กูเกิลออกมาบอกเราเกี่ยวกับการใช้งานลิงค์แบบ Dofollow และ Nofollow ดังนั้นคำแนะนำจากผมนะ ลิงค์ที่ออกจากหน้าเว็บของคุณทั้งหมด แนะนำให้ใช้ลิงค์แบบ Nofollow ทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้น ส่วนลิงค์ภายในเว็บไซต์ของคุณนั้นสำหรับหน้าที่คุณต้องการให้มีการส่งคะแนนคุณก็ทำแบบ Dofollow แต่หน้าเว็บที่ไม่ต้องการเพียงแค่ใส่แท็ก Nofollow เท่านี้คุณก็จะปลอดภัยจากปัญหาต่างๆแล้ว<br />
และการสร้างลิงค์ต่างๆของคุณก็ให้ระวังให้มากเพราะว่าการมีลิงค์มาจากหน้าเว็บที่เป็น สแปมนั้นนอกจากจะไม่ส่งผลดีต่อเว็บไซต์ของคุณแล้วยังส่งผลเสียอย่างใหญ่หลวงอีกด้วยดังนั้นควรระมัดระวังให้ดี ผมทำเว็บเดี๋ยวนี้ไม่ได้เน้นที่สร้างลิงค์เหมือนเดิมอีกแล้ว ผมมาเน้นให้กับการสร้างคอนเท้นต์ที่ดีมากกว่า ดังนั้นถ้าคุณมรแนวทางใน<a href="https://seokhonkaen.com/">การทำ SEO</a> อย่างไรมาแบ่งปันกันได้<br />
<br />
อ้างอิง : <a href="https://support.google.com/webmasters/answer/96569?hl=en" rel="nofollow">https://support.google.com/webmasters/answer/96569?hl=en</a><br />
<br />
<br />
<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com122tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-47479180010811194632019-07-03T21:18:00.001-07:002019-08-30T18:27:01.025-07:00Facebook ไม่เหมาะสำหรับ internet marketing อีกต่อไป<br />
ในปัจจุบันนี้ถ้าจะพูดถึง อินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง เราจะนึกถึง การสร้างเว็บไซต์ ,Facebook, อินสตาแกรม แต่ในปัจจุบันนี้ และ อนาคตอันใกล้นี้ เฟซบุคนั้นไม่เหมาะที่จะใช้เป็นที่ที่ใช้ในการทำ อินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง อีกต่อไป เพราะว่าสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไปมาก ตั้งแต่มี Facebook มาการเปลี่ยนแปลงในเรื่องกฎต่างๆ หรือการทำงานต่างๆของ Facebook นั้นมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมในการที่จะทำการตลาดอีกต่อไป เพราะว่าผลการตอบรับจากลูกค้านั้นมีน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก คนใช้งานยังเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น แหละแต่ไม่มากแต่การที่คนจะเข้าถึงเนื้อหาต่างๆนั้นค่อนข้างยากเย็นมากกว่าเดิม เพราะว่าการได้รับข่าวสารแบบ Organic จากแหล่งข้อมูลที่ต้องการดูได้ถูกลดการเข้าถึงมากขึ้น จนทำให้คนไม่สนใจ หรือหาเพจที่ตนเองสนใจใน news Feed แทบไม่เจอ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-28vRhhcJss0/XR19s4IZu1I/AAAAAAAAIsk/CSr-KLCK-HUq5ynvBdhIaQ_k9HeKjvjXgCLcBGAs/s1600/Facebook%2Bban.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="400" data-original-width="796" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-28vRhhcJss0/XR19s4IZu1I/AAAAAAAAIsk/CSr-KLCK-HUq5ynvBdhIaQ_k9HeKjvjXgCLcBGAs/s640/Facebook%2Bban.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
โอเคแหละในกลุ่มที่ทำ FB ads เพราะพวกเขาสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จากการลงโฆษณาโดยกลุ่มนี้เขาจะมีข้อมูลอยู่ในมืออยู่แล้วจากประสบการของพวกเขา การลงแอดต่างๆก็สามารถทำกำไรได้ดี โดยไม่ได้รับผลกระทบ แต่สำหรับมือใหม่ที่คิดจะสร้างธุรกิจใน FB แนะนำให้หันหลังกลับ เพราะต้องใช้ทุนค่อนข้างเยอะมากในการที่จะสร้างรายได้จาก การขายของบน เฟซบุค ถ้าคุณมีทุนเยอะสายป่านยาวก็เอาเลยไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุณงบน้อยละก็ให้ไปใช้ช่องทางอื่นทดแทนจะดีกว่า ไม่ใช่ว่าเราบอกว่าไม่ดีนะ แต่แนวโน้มของการใช้งานของ Facebook กำลังจะยากมากขึ้นอีกถึงคุณจะมีคอนเท้นต์ที่ดีเพียงใดบน เฟซบุค แต่ถ้าคุณไม่สามารถลงโฆษณา ให้คนเข้าถึงเนื้อหาของคุณคุณก็ตันอยู่ดี<br />
<br />
ไม่ว่าคุณจะมีเพจไลค์อยู่หลักแสนหลักล้าน ถ้าคุณไม่ลงโฆษณาฝันไปเถอะว่าจะมีคนเข้ามาดูคุณถึง 20 เปอร์เซ็นต์ Facebook ในปัจจุบันนี้กำลังจะเป็นการตลาดที่สุญเปล่า คุณลงโฆษณา เพื่อที่จะให้คนมากดไลค์แฟนเพจของคุณ และคุณก็ยังต้องลง โฆษณา เพื่อที่จะให้คนที่กดไลค์เพจของคุณไปแล้ว เห็นโพสของคุณ นี่มีนการตลาดแบบไหน คนฉลาดน่าจะเดาออก<br />
<br />
แล้วต้องทำอย่างไรต่อ เราแนะนำให้เลิกใช้ช่องทาง Facebook ไปเลยแล้วเอาเวลาไปสร้างช่องทางอื่นที่มั่นคงจะดีกว่า อย่างเช่นการทำเว็บไซต์ หรือทำช่องยูทูป ซึ่ง 2 ช่องทางดังกล่าวทั้งสองที่นั้นตอนนี้เต็มไปด้วยโอกาส ในการที่จะเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า Facebook นี่จริงๆ ฟันธงแน่นอน แต่สำหรับใครที่ยังรู้สึกอบอุ่นในอ้อมกอดของ Facebook อยู่ละก็ ให้อยู่ต่อไป<br />
<div>
<br /></div>
Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-81055309297130763092019-07-01T21:26:00.001-07:002019-08-30T18:27:19.440-07:00Google เปิดซอร์ส ระบบอ่านข้อมูล robots.txt parser Google เปิดซอร์ส ระบบอ่านข้อมูล robots.txt parser ให้เป็นสาธารณะ วันนี้โดยได้มีการเปิดซอร์สทั้งหมดของไฟล์ที่ใช้รันในระบบ สำหรับนักพัฒนาที่สนใจการทำงานของระบบดังกล่าว ที่เขียนด้วยภาษา C++ library ที่ได้มีการพัฒนาตั้งแต่ยุค 90 เพื่อให้ผู้ที่ต้องการศึกษาการทำงานของระบบตรวจสอบไฟล์ robots.txt ซึ่งเป็นไฟล์ที่เว็บไซต์ทั่วๆไปจำเป็นต้องมี เพื่อที่จะบอกให้ระบบเว็บ Crawler นั้นสามารถทำงานในการเข้ามาเก็บข้อมูลต่างๆของแต่ละเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น โดยเราสามารถกำหนดค่าต่างๆภายในไฟล์ robots.txt เพื่อที่จะบอกกับตัว Web Crawler ว่าส่วนไหนของเว็บไซต์ที่เราอนุญาตให้เก็บข้อมูลได้ ส่วนไหนหวงห้าม ไม่ให้ไต่เข้าไปเก็บข้อมูล เพราะอาจจะเป็นส่วนที่เก็บข้อมูล หรือไฟล์สำคัญต่างๆเอาไว้ หรือเป็นพื้นที่ที่มีเนื้อหาสำหรับสมาชิก ที่คุณไม่ต้องการให้ปรากฏใน<a href="https://www.seokhonkaen.com/">ผลการค้นหาของกูเกิล</a> เพราะถ้าหากเราไม่ทำการจำกัดการ เก็บข้อมูลของบอทกูเกิล ก็จะไต่เข้าไปเก็บข้อมูลในส่วนนั้นและเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้สามารถค้นพบได้ บนผลการค้นหาของกูเกิล ซึ่งไม่ดีแน่<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="320" data-original-width="640" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-1657IzZtJBo/XRrc0CZURBI/AAAAAAAAIoE/WMbLUihUV9UDPvqWiprcTy2c9Yr6wbEnACLcBGAs/s640/robottxt_SEO.png" width="640" /></div>
<br />
<br />
นอกจากซอร์สโค้ดของระบบ Robots Exclusion Protocol (REP) แล้วยังมีตัวอย่างการใช้งานของโปรแกรมดังกล่าวมาด้วย 2-3 ตัวอย่าง ซึ่งจะทำให้คุณสามารถเข้าในถึงหลักการทำงานของระบบได้ดีขึ้น<br />
<br />
โดยกูเกิลพยายามที่จะผลักดันมาตรฐานนี้ให้เป็นสิ่งที่ทุกเว็บไซต์ต้องมีมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำเว็บเสิร์จแต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จจนถึงขั้นที่จะตั้งให้เป็นมาตรฐานทั่วโลกได้ ถ้าคุณสนใจละก็ ซอร์ส โค้ดนี้สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ <a href="https://github.com/google/robotstxt" rel="nofollow">GitHub </a><br />
<br />
สำหรับเจ้า robots.txt เกี่ยวข้องอย่างไรเกี่ยวกับ SEO หรือ <a href="https://www.seokhonkaen.com/">Search Engine Optimization</a> ไฟล์ robots.txt นี้สำคัญมากเพราะว่าเป็นเหมือนใบบอกทางให้กับบอท หรือระบบเก็บข้อมูลเว็บไซต์ของเราให้กูเกิลได้ทราบ โดยไฟล์ robots.txt จะต้องถูกวางไว้ใน Root Directory ของเว็บไซต์เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุด เช่น Example.com/robots.txt เพราะว่าก่อนที่บอทจะเข้าไปเก็บข้อมูลของเว็บไซต์นั้นต้องอ่านป้ายผ่านทางก่อนนั่นเอง บางทีเราทำเว็บไซต์ไปตั้งนานแต่บอท Google ไม่มีการมาเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์ของเราเลยนั่นอาจจะเกิดจากการที่คุณได้เขียนห้ามกูเกิลบอทเข้าไปเก็บข้อมูลเว็บไซต์ของคุณผ่านทางไฟล์ robots.txt โดนที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้ ลองไปเช็คไฟล์ดู หรือใช้ เครื่องมือทดสอบ robots.txt ของ Google ที่มีให้ใช้งานใน Google Search Console<a href="https://www.google.com/webmasters/tools/robots-testing-tool" rel="nofollow"> https://www.google.com/webmasters/tools/robots-testing-tool</a> โดยคุณสามารถทำได้ตามนี้ <a href="https://support.google.com/webmasters/answer/6062598?hl=en" rel="nofollow">https://support.google.com/webmasters/answer/6062598?hl=en</a><br />
<br />
ในกรณีที่คุณต้องการเปิดให้ Google Bot เข้าไปเก็บข้อมูลได้ทุกหน้าของเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารุใช้บริการเว็บที่ใช้ในการเขียนไฟล์ robots.txt ซึ่งสามารถค้นหาได้ในก็เกิลเองด้วยคำค้นว่า robots.txt Generator ซึ่งจะมีช่องให้คุณกรอกข้อมูลว่า ให้เก็บข้อมูลอะไรได้บ้าง อนุญาตให้บอทตัวไหนเข้ามาเก็บได้บ้าง เป็นต้น<br />
<br />
<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-22635353193036265982019-06-25T19:23:00.001-07:002019-08-30T18:27:34.407-07:00Internet marketing คืออะไร ช่วยให้ธุรกิจของคุณดีขึ้นได้อย่างไรInternet marketing คืออะไร เราอาจจะคุ้นหูเหลือเกินกับคำนี้ โดยจริงๆแล้วลึกๆนั้นเราไม่รู้เลยว่าของเขตของคำว่า อินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้งนั้นมันจะหมายถึงอะไรได้บ้าง มันครอบคลุมได้ถึงไหนบ้าง และมันจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดีขึ้นได้อย่างไร<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1136" data-original-width="1600" height="454" src="https://1.bp.blogspot.com/-7TlUH6Q0vJU/XRLVv2BQoQI/AAAAAAAAIho/Iyu0YIDZJ2UXSVS6Rm9SnsWnX0GpTNweQCLcBGAs/s640/23053.jpg" width="640" /></div>
<br />
คำว่า Internet Marketing คือ การนำเอาสินค้าบริการ หรือแบรนด์ มาเข้าสู่อินเตอร์เน็ต โดยวิธีการต่างๆเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดที่เครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะให้เราได้ โดยในปัจจุบันนี้ภาคธุรกิจทั้งหลายต่างใช้ การตลาดออนไลน์ในการขายสินค้าและบริการด้วย 2 สาเหตุคือ<br />
<br />
1. เป็นช่องทางการตลาดที่คุ้มค่า<br />
<br />
2.แนวโน้มการบริโภคสื่อกำลังเคลื่อนเข้าหาอินเทอร์เน็ต ดังนั้นคุณจึงสามารถติดต่อกับคนจำนวนมากได้โดยการใช้สื่อออนไลน์<br />
<br />
เอาหละหลังจากทราบถึงความหมายแล้วเรามา ดูวิธีการทำงานบน อินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง แบบต่างๆกัน<br />
<br />
<h3>
<a href="https://www.seokhonkaen.com/">Search Engine Optimization </a></h3>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="865" data-original-width="1600" height="346" src="https://1.bp.blogspot.com/-xsYDlI15UFg/XRLWGr_DkWI/AAAAAAAAIhw/uQ4RyIXYoncunQ9GiPzO46mbBCy417ABACLcBGAs/s640/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%2BSEO.jpg" width="640" /></div>
<br />
หรือการทำ SEO นั้นเป็นช่องทางในการโปรโมทเว็บไซต์ให้เข้าถึงผู้คนจำนวนมาก หรือลูกค้าตามกลุ่มเป้าหมายของเราเพื่อให้เข้ามาสู่เว็บไซต์ของเราเพื่อทำการสั่งซื้อสินค้า หรือบริการต่างๆของเรา โดยการปรับแต่งเว็บไซต์ให้สามารถทำดันดับได้ดีบนผลการค้นหาที่เราต้องการนั้น ด้วยการทำการวิจัยคีย์เวิร์ดว่า คีย์เวิร์ด หรือคำค้นไหนที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการของเรามากที่สุด เช่นเว็บไซต์ของเราขาย รองเท้าฟองน้ำ คำค้นที่เหมาะสมนั้นได้แก่ ขายรองเท้าฟองน้ำ,รองเท้าฟองน้ำราคาถูก,รองเท้าฟองน้ำดีที่สุด โดยคำค้นดังกลาวจะนำไปสู่การขายหรือไม่นั้น เราจะต้องลอง วิเคราะห์ดูก่อนว่า เราควรที่จะเน้นหนักคีย์เวิร์ดใด หรือทั้งสามอันที่กล่าวมา เพราะว่า ยิ่งเราสามารถทำอันดับในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องต่างๆมาก โอกาสขายได้ก็มีสูงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง<br />
<br />
แต่ข้อเสียของการทำ SEO คือช้ามากโดยคุณอาจใช้เวลา 6-12 เดือนในการที่จะขึ้นไปในหน้าแรกได้ หากเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับแต่งที่ถูกต้องและมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์มากกว่าเว็บไซต์ของคู่แข่ง โดย<a href="https://www.seokhonkaen.com/">การทำ SEO</a> ไม่มีทางลัดเด็ดขาดถ้าใครมาบอกคุณว่าสามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นหน้าแรกภายใน 1 สัปดาห์นั้นแสดงว่าเขาอาจจะใช้เทคนิคในการทำ SEO ที่ไม่เหมาะสมหรือการโกงนั่นเอง โดยวิธีดังกล่าวจะทำให้เว็บไซต์ทำอันดับได้รวดเร็ว และลงมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน และจะส่งผลเสียระยะยาวกับ เว็บไซต์ของคุณแน่นอน จนอาจจะทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่สามารถค้นหาเจอบนอินเตอร์เน็ตได้เลย แต่ข้อดีคือถ้าเว็บไซต์ของคุณมีการอัปเดทเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงสุดต่อ เนื่องเว็บไซต์ของคุณก็จะสามารรักษาอันดับไว้ได้นาน 3-10 ปีเลยทีเดียว เรียกว่ากินยาวๆเลยนั่นเอง นอกจากนั้นยังดีต่อแบรนด์ของคุณอีกด้วยเพราะเวลาถึง 3 ปีนั้นจะทำให้คนรู้จักคุณไม่น้อยเลยดังนั้นดีมากที่สุดสำหรับแบรนด์ และเป็นช่องทางในการทำอินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้งที่เราแนะนำมากที่สุดในตอนนี้<br />
<br />
คุณอาจจะสนใจบทความ S<a href="https://www.seokhonkaen.com/2019/06/seo-guide.html">EO Guide ในปี 2019 ที่คุณต้องรู้</a><br />
<br />
<h3>
Social Media Marketing</h3>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1476" data-original-width="1600" height="590" src="https://1.bp.blogspot.com/-3RiZfmmtKiQ/XRLWPDTLSOI/AAAAAAAAIh0/P5wLKWnbIvAeW-P9Xe5oGhS16TUBMKUSgCLcBGAs/s640/Social%2BInternet%2BMarketting.jpg" width="640" /></div>
<br />
นี่ก็เป็นช่องทางที่ดีในการที่จะทำการตลาดอินเตอร์เน็ต ด้วยการใช้แพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instagram ในการโปรโมทสินค้าและบริการของเราผ่านช่องทางดังกล่าวแต่การที่จะเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากนั้นคุณจะต้องใช้เวลาและเนื้อหาที่โดเด่นจนทำให้เกิดเป็นไวรัลแล้วการหาผู้ติดตามนั้นก็จะเป็นช่องทางหนึ่งในการที่จะสร้างตัวตนบนโลกโซเชียล โดยในตอนแรกๆคุณอาจจำเป็นจะต้องซื้อโฆษณา เพื่อเพิ่มจำนวนคนติดตามดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จะเหมาะกับการใช้โซเชียลมีเดียและช่องทางการใช้งานดังกล่าวก็เปลี่ยนแปลงทุกวัน ไม่ค่อยที่จะยั่งยืนฉาบฉวยเกินไป ถ้าคุณสนใจ หรือรับได้เราก็เห็นด้วยจริงๆแต่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นช่องทางหลัก เพราะว่ากระแสโซเชียลมีเดียไปเร็วมาเร็ว คุณไม่สามารถสร้างคอนเท้นต์ดีๆได้ตลอดเวลานั่นเองทำให้ช่องทางนี้ ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไร<br />
<br />
คุณอาจจะสนใจบทความ <a href="https://www.seokhonkaen.com/2019/05/seo-facebook-fan-page.html">การทำ SEO สำหรับ Facebook Fan page เบื้องต้นใครๆก็ทำได้</a><br />
<h3>
Email Marketing</h3>
<br />
คนเราใช้อีเมล์ในการติดต่อสื่อสารกันในเรื่องสำคัญต่างๆ ดังนั้นช่องทางอินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้งด้วยอีเมล์นั้นก็ยังใช้ได้ดีกว่า แต่ก็ต้องดูให้ดีในการส่งอีเมล์เพราะว่าอีเมล์ที่คุณส่งไปเสนอ หรือโปรโมทนั้นถ้าเข้าข่าย สแปมแล้วละก็ระบบคัดกรองต่างๆของผู้ให้บริการเองก็จะเอาเมล์ที่คุณสร้างขึ้นมาไปใส่ไว้ในนั้น ดังนั้นควรพิจารณาให้ดีก่อนทำการทำการตลาดด้วยวิธีดังกล่าว โดยคุณจะสามารถส่งอะไรได้บ้างให้กับลูกค้าผ่านช่องทางนี้ อาจจะเป็นโปรโมชั่นลดราคา หรือบทความดีๆที่ผู้รับเห็นต้องเปิดอ่านทันทีเป็นต้น<br />
<br />
<h3>
Paid Advertising</h3>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1600" data-original-width="1600" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-pyMDj6hFoU8/XRLWzd6_sMI/AAAAAAAAIiA/fxjfijfZAf44hoTEPjt9zK8yUx2a7AO6wCLcBGAs/s640/Paid%2BAdvertising.jpg" width="640" /></div>
<br />
การลงโฆษณาแบบจ่ายเงิน เป็นวิธีการอินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้งที่ง่าย และรวดเร็วแต่มีข้อเสียคือต้องจ่ายเงินให้ผู้ให้บริการโฆษณาโดยการบิดราคาผู้ที่ให้ราคาสูงสุดก็จะได้การแสดงผลไป แต่ถ้าเราหยุดจ่ายเงินให้ผู้บริการโฆษณานั่นก็คือหยุดทุกสิ่งอย่าง ไม่มี ทราฟฟิคเข้ามาซึ่งในบางครั้งการลงโฆษณาอาจจะไม่ได้กำไร หรือถ้าเลือกบิดในคีย์เวิร์ดที่ถูกคีย์เวิร์ดทองคำ มีคนแข่งบิดน้อยมากก็ถือว่าประสบผลสำเร็จ แอบกินยาวๆได้ แต่กว่าที่จะเจอก็น่าจะต้องลงทุนไปเยอะพอสมควรขนาดที่ว่าจ้างทำ SEO ได้หลายคีย์เวิร์ดเลยทีเดียวโดยผู้ให้บริการหลักๆเลยก็มี Google Adwords Facebook Ads เป็นต้น<br />
<br />
<h3>
Predictive Analytics and Big Data</h3>
<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล และการใช้ Big Data ในการวางแผนที่จะทำอะไรสักอย่างบนอินเตอร์เน็ต ด้วยการวิเคราห์ข้อมูลดิบที่ได้แล้วนำมาทำการเลือกกลุ่มเป้าหมาย สินค้า และบริการ โดยการดูจากข้อมูลหลายๆด้านประกอบกัน เพื่อที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อการวางแผนการตลาดต่อไป<br />
<br />
<h3>
Content Marketing</h3>
<br />
เป็นการนำเสนอคอนเท้นต์ที่เข้าถึงผู้รับให้กลายมาเป็นลูกค้าแบบเนียนๆโดยการนำเสนอกิจกรรมต่างๆให้กับลูกค้าเข้ามาร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประกวด การทายปัญหา ซึ่งทำให้ลูกค้านั้นรู้จักแบรนด์ของคุณและ ชื่นชอบในแบรนด์ของคุณมากขึ้นด้วย<br />
<br />
<h3>
Affiliate Marketing</h3>
<br />
คือการให้ค่าคอมมิสชั่นสำหรับคนที่แนะนำลูกค้ามาซื้อสินค้า หรือบริการของคุณ โดยคุณอาจจะให้ค่าตอบแทนเขาเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อการแนะนำลูกค้า หรือจากการขายสินค้าหรือบริการให้กับคุณ อาจจะให้ตั้งแต่ 3-8 % ตามความเหมาะสมซึ่งวิธีนี้ในต่างประเทศเป็นที่นิยมมาก<br />
<br />
<h3>
Video Marketing </h3>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1600" data-original-width="1600" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-6glt5ogZMrg/XRLXKJVIOVI/AAAAAAAAIiI/uELCus1tAyIPHuBRuC-wE4H_n4U4ZlvqQCLcBGAs/s640/Video%2BMarketting.jpg" width="640" /></div>
<br />
เป็นวิธีที่นิยมในปัจจุบันมากเพราะว่าการเข้าถึงภาพและวีดีโอนั้นทำให้คนเข้าใจได้ง่าย มีความบันเทิงแฝงไปด้วยการขายสินค้า หรือแบรนด์แบบเนียนและเป็นที่จดจำมากกว่าวิธีอื่นๆในปัจจุบันสามารถสร้างได้ง่าย ด้วยสมาร์ตโฟนเพียงเครื่องเดียวก็สามารถสร้างสรรค์งานวีดีโอได้แล้ว<br />
<br />
จากข้อมูลในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่ามีช่องทางมากมายในการที่จะเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง ดังนั้นการที่จะเลือกสักวิธี ในการที่จะเข้าถึงลูกค้า หรือหลายวิธีพร้อมๆกันนั้นก็สามารถทำได้ โดยต้องดูว่าวิธีไหนได้ผลดีที่สุดแล้วก็มุ่งไปใช้วิธีนั้นในการทำ Internet marketing และก็ต้องมีการใช้วิธีอื่นร่วมด้วย<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-31998165850097666562019-06-13T20:12:00.000-07:002019-08-30T18:28:53.905-07:00รับทำเว็บไซต์ ขอนแก่น สำหรับภาคธุรกิจร้านค้าและธุรกิจให้บริการ ต่างๆในจังหวัดขอนแก่นรับทำเว็บไซต์ ขอนแก่น สำหรับภาคธุรกิจร้านค้า และธุรกิจให้บริการ ต่างๆในจังหวัดขอนแก่น ด้วยระบบเว็บไซต์ สำเร็จรูป Wordpress ระบบจัดการเว็บไซต์ยอดนิยมระดับโลกที่มีการใช้งานในการทำเว็บไซต์ ถึง 74.6 ในปี 2017 โดยจะพบว่าเว็บไซต์จำนวน 100 เว็บจะมีการใช้งานระบบ CMS เวิร์ดเพรสนี่ถึง 48 เว็บเลยทีเดียว<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1067" data-original-width="1600" height="426" src="https://1.bp.blogspot.com/-L-oA01urnT0/XQMQNg7Eh0I/AAAAAAAAIFQ/aUc0kVFtT1sQYjyGaQER8NCkM_iju5cRwCLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A7%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%258C%2B%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599.jpg" width="640" /></div>
<br />
<br />
<h3>
ทำไมต้องมีเว็บไซต์ มีเว็บไซต์แล้วได้อะไร</h3>
<br />
ถ้าคุณกำลังสร้างธุรกิจ หรือมีธุรกิจอยู่แล้วแต่ยังไม่มีเว็บไซต์นั้นในปัจจุบันนี้การใช้งานอินเตอร์เน็ตได้มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนเรามาก เหมือนเมื่อก่อนที่เรามีทีวีเป็นเครื่องมือในการรับข้อมูล เพียงอย่างเดียวแต่ในปัจจุบันนี้เรามีอินเตอร์เน็ต ที่ทำให้เรานั้นสามารถเป็นผู้รับข้อมูล และเป็นผู้ให้ข้อมูล คุณจะเห็นได้ว่าทีวีในปัจจุบันนี้เรามีการรับชมลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะข่าวสารทางทีวี ซึ่งในปัจจุบันนี้ข่าวช้ากว่าข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตมาก ในอินเตอร์เน็ตข่าวสารแทบจะ อัปเดทกันเป็นวินาทีเลยทีเดียว ดังนั้นในยุคปัจจุบันนี้คุณจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องตามให้ทันเทคโนโลยี ถ้าไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง<br />
ทำไมต้องมีเว็บไซต์ ในปัจจุบันนี้คนใช้งานเว็บไซต์นั้นเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยพวกเขาใช้ในการค้นหาข้อมูลต่างๆเช่นค้นหาสินค้าและบริการ ที่พวกเขาต้องการเช่นเราต้องการที่จะไปกินข้าวร้านอาหารที่อร่อยๆขอนแก่น เราต้องค้นหาข้อมูลว่าร้านไหนน่าไปกินบ้าง ในร้านอาหารนั้นมีเมนูอะไรเด็ด ร้านนั้นเปิดตอนไหน ตั้งอยู่ที่ไหนในจังหวัดขอนแก่น และคนอื่นทำการรีวิวหรือ กล่าวถึงร้านนี้อย่างไร น่าไปลองกินดูไหม เป็นต้นข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราตัดสินใจในการที่จะไปกินข้าวร้านนั้นๆ<br />
<br />
เว็บไซต์ของเราก็เช่นกันถ้าเรามีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง มีข้อมูลสินค้าหรือบริการต่างๆของเราบนเว็บไซต์เพื่อโชว์ให้ลูกค้าได้เห็น มีสถานที่ตั้ง มีข้อมูลของร้านของเราว่าเปิดบริการตอนไหน เวลาไหน การเดินทางมายังร้านของเราได้ตามเส้นทางใดจะสะดวกที่สุด นี่เป็นข้อมูลทีเราสามารถให้กับลูกค้าของเราได้ พอลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้โอกาสที่เราจะขายสินค้า และบริการของเรานั้นก็จะตามมาอย่างแน่นอน<br />
<br />
นอกจากจะช่วยให้คุณนั้นสามารถขายสินค้า และบริการผ่านทางเว็บไซต์ได้แล้วคุณยังสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าของคุณได้ด้วยเว็บไซต์โดยการสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับร้านค้าของเราด้วยอาจจะเป็นการกล่าวถึงประวัติการบริการของเราเช่น ร้านของเราไดให้บริการมาครบ 100 ปีแล้ว โดยก่อตั้งเมื่อปี 2462 โดยอากง เป็นผู้ก่อตั้ง เมื่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราและได้อ่านถึงประวัติความเป็นมาดังกล่าว ลูกค้าจะเกิดความเชื่อมั่นในสินค้าและบริการของเราว่า เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆจริงๆ นั่นเอง และก็จะใช้ข้อมูลดังกล่าวในการที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการของเราได้เป็นต้น<br />
<br />
<h3>
คู่แข่งทางธุรกิจของคุณเขาก็มีเว็บไซต์ ทำไมคุณถึงไม่มี</h3>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1068" data-original-width="1600" height="426" src="https://1.bp.blogspot.com/-tQdZMw_ritk/XQMQWzNuSsI/AAAAAAAAIFU/jC9lZCcMq6c7FHaQsaR34BQ5KIYE86FRwCLcBGAs/s640/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A7%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%258C.jpg" width="640" /></div>
<br />
ธุรกิจในปัจจุบันนี้ทุกธุรกิจล้วนมีคู่แข่งทั้งหมด ไม่มีธุรกิจไหนเลยที่ไม่มีคู่แข่งในขณะที่คุณกำลังดำเนินธุรกิจอยู่ คุณอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าคู่แข่งของคุณนั้นได้มีเว็บไซต์แล้ว และเว็บไซต์ของพวกเขาเหล่านั้นกำลังเปิดโอกาสการเข้าถึงทางธุรกิจให้พวกเขาอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ โดยเว็บไซต์ไม่มีวันหยุดเว็บไซต์จะเปิดบริการให้ข้อมูลต่างๆกับลูกค้าของคุณตลอดเวลา ในขณะที่คู่แข่งของคุณกำลังให้ข้อมูลสินค้าและบริการของพวกเขาผ่านเว็บไซต์อยู่นั้น แล้วคุณทำอะไรอยู่คุณอาจจะกำลังนั่งรอลูกค้าอยู่ที่ร้านให้เดินผ่านมาซื้อสินค้าอยู่ใช่หรือไม่ ในขณะที่คู่แข่งของคุณนั้นกำลังเรียกลูกค้าด้วยช่องทางอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ของพวกเขา ด้วยการลงโฆษณาออนไลน์ <a href="https://www.seokhonkaen.com/#section-2">การทำ SEO</a> เพื่อเรียกคนเข้าเว็บเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ของพวกเขาและคู่แข่งของคุณกำลังแย่งลูกค้าของคุณไปเรื่อยๆโดยที่คุณไม่รู้ตัว<br />
<br />
<h3>
ข้อดีของการมีเว็บไซต์</h3>
<br />
คุณอาจจะมองไม่เห็นภาพมากนักเดี๋ยวเราจะอธิบายข้อดีเป็นข้องๆว่าทำไมคุณถึงจำเป็นต้องมีเว็บไซต์สำหรับธุรกิจของคุณ<br />
<br />
1.เว็บไซต์มีการเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีการปิด โดยเว็บไซต์จะเป็นหน้าร้านออนไลน์ให้กับคุณทำให้คุณสามารถขายสินค้าได้ตลอดเวลา ตราบใดที่เว็บไซต์ของคุณยังเปิดให้บริการอยู่<br />
<br />
2.ให้ลูกค้าจำนวนมากเข้าถึงร้านค้า เพื่อซื้อสินค้าและบริการของคุณได้ผ่านทางเว็บไซต์ของคุณโดยทำให้คุณสามารถเพิ่มลูกค้าจากจังหวัดอื่นๆ ภายในประเทศที่มีความสนใจในสินค้าของคุณได้อย่างง่ายดายผ่านทางเว็บไซต์ของคุณ<br />
<br />
3.สร้างแบรนด์ และความน่าเชื่อถือในสินค้าและบริการของคุณผ่านทางเว็บไซต์ เมื่อลูกค้าเห็นว่าคุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง พวกเขาก็จะเกิดความเชื่อถือในสินค้า และ บริการของคุณว่ามีร้านค้าจริง มีสินค้าจริง ไม่หลอกลวงแน่นอน<br />
<br />
4.โปรโมทสินค้าและบริการของคุณ ได้รวดเร็วเช่นในกรณีที่คุณมีการเพิ่มสินค้าหรือบริการใหม่ๆ ในร้านค้าของคุณคุณก็สามารถนำไปเสนอให้กับลูกค้าได้รับทราบทันทีที่หน้าเว็บไซต์ของคุณ โดยวิธีดังกล่าวนั้นสามารถทำให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วมากกว่าการติดป้ายประกาศหน้าร้าน<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-13713727305148348222019-05-30T19:44:00.002-07:002019-06-01T05:39:27.713-07:00การทำ SEO สำหรับ Facebook Fan page เบื้องต้นใครๆก็ทำได้การทำ SEO สำหรับ Facebook Fan page เบื้องต้นใครๆก็ทำได้ แฟนเพจบน เฟซบุคสามารถทำ SEO ได้ไหมทำอันดับได้ดีหรือเปล่า หรือแฟนเพจขายของ แฟนเพจของบริษัทสามารถดันอันดับให้ไปอยู่หน้าแรกในคีย์เวิร์ดที่ต้องการได้หรือไม่นั้น ขอตอบว่าได้นะครับ และยังทำ SEO ได้ง่ายและรวดเร็วกว่าเว็บไซต์อีกด้วย<br />
เพราะว่า Authority ของเว็บ Facebook.com นั้นสูงมากนั่นเอง การเขียนบทความดีๆสัก 2- 3 บทความและปรับแต่งอีกนิดหน่อยเท่านั้นแฟนเพจของคุณก็พร้อมที่จะพุ่งทะยานขึ้นสู่หน้าแรก ในอันดับต้นๆของผลการค้นหาที่คุณต้องการได้แล้ว แต่ถามว่าทำอย่างไร วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีทำ SEO ให้กับ Facebook Fan page ของคุณกัน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1600" data-original-width="1600" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-paPypW2VaMA/XPCU8lGK32I/AAAAAAAAH0A/eVgeWcsCiGM4h6f29b5DnhiivbjQKTLdwCLcBGAs/s640/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%2BSEO%2B%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%25AB%25E0%25B9%2589%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2584%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2588.jpg" width="640" /></div>
<br />
<br />
<h3>
การปรับแต่ง Facebook fan เบื้องต้นเพื่อช่วยในด้าน SEO</h3>
<br />
1.การตั้งชื่อแฟนเพจควรใช้ชื่อที่มีคีย์เวิร์ดที่เราค้องการทำอันดับ อยู่ในนั้นเช่น เราต้องการที่จะทำอันดับในคีย์เวิร์ดคำว่า รับ ทำ เพจ ชื่อแฟนเพจเราควรที่จะมีคำว่า รับ ทำ เพจ อยู่ในชื่อแฟนเพจของเราดังนั้นเราควรตั้งชื่อเพจของเราว่า รับ ทำ เพจ ขอนแก่น ซึ่งมีการเพิ่มคีย์เวิร์ดท้องถิ่นเข้ามาด้วยเพื่อให้สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับที่คุณต้องการ<br />
<br />
2.เลือก url ของแฟนเพจที่ดีง่ายต่อการจดจำ และสื่อถึงชื้อแฟนเพจของเราใน url นั้นเช่น https://www.facebook.com/pagekhonkaen และควรใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็กเท่านั้น<br />
<br />
3.ใส่รายละเอียดในหน้า About ให้ครบทุกช่อง และมีการใส่คีย์เวิร์ดที่เราจะใช้อยู่ในนั้นด้วย โดยเฉพาะในช่อง About section, Mission, and Company Description นั้นจะเป็นมาก<br />
<br />
4.ใส่ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และเว็บไซต์ของคุณให้ครบ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเพจของคุณ<br />
<br />
5.มีการทำลิงค์จากเว็บไซต์ของคุณมายังแฟนเพจของคุณ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมโยง และความเกี่ยวข้องกันระหว่าเว็บเพจ และ แฟนเพจของคุณ<br />
<br />
6.การโพสในแฟนเพจของคุณต้องมีคำอธิบายที่ยาวพอสมควรและใน 18 คำแรกควรมีการสรุปใจความให้ดี และมีการใส่คีย์เวิร์ดเข้าไปในนั้นด้วย<br />
<br />
7.ควรมีการอัปเดทแฟนเพจอย่างต่อเนื่องเละเป็นประจำ พยายามสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำให้มากกว่าการได้ยอดไลค์ ยอดแชร์<br />
<br />
สรุปการทำ SEO สำหรับแฟนเพจทำได้ง่ายๆใครๆที่ทำเพจอยู่แล้วก็สามารถทำได้แต่ก็ควรระวังการทำ Over SEO ด้วยเพราะนอกจากแฟนเพจจะไม่สามารถทำอันดับที่ดีได้แล้ว อาจจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับแฟนเพจของคุณอีกด้วย เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับบทความการทำ SEO ของเรา ผมหวังว่าเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้ท่านผู้อ่านนั้นสามรถเข้าใจและนำไปใช้ในการปรับแต่งหน้าแฟนเพจของตัวเองได้ อย่างลืมกดไลค์ กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมออกบทความดีๆเกี่ยวกับเทคนิคการทำ Search Engine Optimization มาให้คุณๆได้อ่านอีกนะครับ ด้วยความระลึกถึง นิรันต์ กาศรี<br />
<div>
<br /></div>
Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3689891163466072135.post-61864420904467174442019-05-28T18:57:00.003-07:002019-05-28T19:02:12.382-07:00Google จะอินเด็กซ์ เว็บที่รองรับสมาร์ตโฟนก่อน Google จะเริ่มทำการอินเด็กซ์เว็บที่รองรับการใช้งานโดยมือถือก่อนสำหรับโดเมนใหม่ที่เพิ่งถูกจดทะเบียน โดยดีเดย์ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2019 หลังจากที่ได้ทำการวางแผนไว้เมื่อปีที่แล้ว แสดงว่าในตอนนี้หากคุณกำลังเริ่มจะสร้างเว็บใหม่ คุณจะต้อเริ่มคำถึงถึงการออกแบบเทมเพลตหรือธีมสำหรับเว็บไซต์กันใหม่แล้วหละครับ แล้วก็อย่าลืมใส่ข้อมูลที่มีโครงสร้าง หรือ structured site snippets ด้วยเพราะว่าการที่จะทำอันดับด้วย snippets นั้นได้เพิ่ม CTR ให้กับเว็บไซต์ของคุณมากกว่าที่ไม่มี ตามที่มีรายงานพบว่าค่า CTR เพิ่มขึ้นถึง 26 เปอร์เซ็นต์เลยนะเออ และนอกจากนั้นคุณสามารถอยู่หน้าแรกได้ โดยที่ไม่ได้อยู่หน้าแรก งงไหมถ้าสนใจการทำงานของเจ้า rich snippets นี่ละก็กดติดตามไว้บทความเกี่ยวกับมันมีในเว็บไซต์ของเราแน่นอน เร็วๆนี้<br />
<br />
<amp-img alt="รองรับสมาร์ตโฟน" height="592" layout="responsive" src="https://1.bp.blogspot.com/-aIxIpp5Neq0/XO3mik5ApOI/AAAAAAAAHyU/XTs6l1zgAhA8VyMVEDHnxaFoysxZm65CQCLcBGAs/s640/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A7%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%2599.jpg" width="640">
</amp-img>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img alt="รองรับสมาร์ตโฟน" border="0" data-original-height="1485" data-original-width="1600" height="592" src="https://1.bp.blogspot.com/-aIxIpp5Neq0/XO3mik5ApOI/AAAAAAAAHyY/m4bNTCtB__Qh199j_xNdKKvvLs-jOPA7ACEwYBhgL/s640/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A7%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%259F%25E0%25B8%2599.jpg" width="640" /></div>
<br />
กลับมาที่เรื่องทำเว็บไซต์ให้รองรับมือถือต่อ จะเห็นได้ว่ากูเกิลพยายามผลักดันให้เว็บไซต์นั้นรองรับการใช้งานในมือถือตั้งแต่ปี 2016 ที่ผ่านมาเพราะได้เล็งเห็นถึงแนวโน้มปริมาณการใช้งานผ่านอุปกรณ์มือถือ และพร้อมกับการขยายตัวของตลาดสมาร์ตโฟนที่ใครๆก็สามารถเข้าถึง และครอบครองได้ในราคาที่ไม่สูงนัก<br />
<br />
แล้วจะทำให้เว็บไซต์รองรับอุปกรณ์สมาร์ตโฟนได้อย่างไร และส่งผลดีต่อ<a href="https://www.seokhonkaen.com/2019/05/search-engine-optimization.html">การทำ SEO</a> อย่างไรสำหรับเว็บไซต์ที่สร้างด้วยระบบ CMS อย่างเวิร์ดเพรสที่สามารถเปลี่ยเทมเพลตหรือเรียกว่าธีมนั้น เทมเพลตรุ่นใหม่ๆในปัจจุบันนี้รองรับมือถือกันหมดแล้ว และการใช้งานนั้นไม่ยุ่งยากเลย เพียงดาวน์โหลดมาแล้วทำการติดตั้งลงไปใน Wordpress เท่านี้คุณก็จะมีเว็บไซต์ที่รองรับสมาร์ตโฟนไว้ใช้งานแล้ว สำหรับเว็บไซต์ที่เขียนเองคุณต้องใช้เวลาในการพัฒนาเท็มเพลตให้รองรับพอสมควรดังนั้นผมแนะนำให้คุณหันมาใช้งานเวิร์ดเพรสกันนะครับ สะดวกและใช้งานง่ายมากๆ<br />
<br />
<span style="white-space: pre;"> </span>นอกจากทำให้เว็บรองรับอุปกรณ์มือถือแล้วยังไม่เพียงพอ การทำให้เว็บไซต์ของเรารองรับ AMP นั้นก็มีความสำคัญด้วยเช่นกันเพราะกูเกิลเองก็ได้ออกมาบอกว่าหากมีการค้นหาจากโทรศัพท์มือถือ ทางกูเกิลจะแสดงผลการค้นหาจากเวอร์ชั่นที่เป็น AMP ก่อนคือจริงๆก็คือจะลัดคิวให้กับผลการค้นหาที่รองรับ Accelerated Mobile Pages ก่อนนั่งเองเริ่มเห็นลู่ทางกันหรือยัง<br />
<br />
ในอนาคตนั้นเว็บไซต์ที่มีเวอร์ชั่น AMP จะทำอันดับได้ดีกว่าเว็บไซต์ที่ไม่รองรับดังนั้นคุณน่าจะเริ่มศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานได้แล้วนะ จริงๆแล้ว กูเกิลได้เริ่มประกาศรองรับ AMP ไปเมื่อปี2018 นี่เองยังมีเวลาปรับตัวอีกนิดหนึ่งสำหรับท่านที่เริ่มสนใจข้อมูลเกี่ยวกับ AMP สามารถเรียนรู้และศึกษาข้อมูลทั้งหมดได้ที่ amp.dev โดยจะมีเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องให้ศึกษา และมีตัวอย่างซอร์สโค้ดที่ให้คุณสามารถนำไปปรับใช้บนเว็บไซต์ของคุณได้สะดวกมากขึ้นด้วย<br />
<br />
สำหรับบทความนี้ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรสามารถแสดงความเห็นได้ครับผมเองอาจจะเข้าใจแต่ก็อาจจะไม่หมดจะได้มาเสริมกัน หรือถ้าเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ก็อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ให้ด้วยแล้วกันถือว่าขอกันตรงๆ 555+เอาเป็นว่าในวันนี้เอาไว้เท่านี้ก่อนแล้วค่อยพบกันในบทความหน้า<br />
<br />
<br />
<br />
<br />Niran Kasrihttp://www.blogger.com/profile/01085313646188633697noreply@blogger.com0